วันพฤหัสบดีที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2558

"วอเรน บัฟเฟต"

"วอเรน บัฟเฟต" หมัดน๊อก 35 หมัดบนสังเวียนชีวิตที่ผมชกมา 29 ปี 


1. เราเลือกหลายๆ อย่างในชีวิตไม่ได้ เช่น เราเลือกเกิดไม่ได้ เลือกหน้าตาไม่ได้ การมานั่งคิดเรื่องที่เราแก้ไขไม่ได้ เป็นเรื่องเสียเวลา ทำให้ดีที่สุดกับสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราเป็นจะเป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ากว่า

2. อย่าเรียกร้องจากชีวิตมากเกินไป แต่ก็อย่าโอ๋ตัวเองมากจนสำออย ควรพยายามตั้งใจเข้าให้ถึงเส้นชัย แต่มันไม่ใช่เรื่องจำเป็นเลยที่เราจะต้องเข้าถึงเส้นชัยก่อนใคร ไม่จำเป็นด้วยว่าต้องติดอันดับใดๆ

3. เรื่องไม่ดี เรื่องผิดหวัง ปัญหาที่ผ่านไปแล้ว เรียนรู้จากมันแล้วก็จบๆ ไป เลิกคิด อย่าคิดวนไปวนมา การเอาปัญหาที่ผ่านไปแล้วมาคิดซ้ำๆ ก็เหมือนเราเป็นแผล แล้วเราเอามือบี้แผลเล่นซ้ำๆ อยู่ยังงั้น

4. เรื่องที่ยังไม่เกิด เราก็ไม่ควรทุกข์ การทุกข์ไปล่วงหน้าไม่ได้ช่วยอะไรเลย คนเรามักทุกข์ไปก่อนเกินเหตุ แล้วต่อให้มันเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ เราไปทุกข์ตอนนั้นก็ยังทัน ตั๋วทุกข์ไม่มีหมด มีแจกตลอดเวลา ไม่ต้องรีบไปแย่งมา

5. เราไม่ได้ monopoly ความทุกข์ มันไม่ใช่เรื่อง personal เราไม่ได้มีความทุกข์อยู่คนเดียว ใครๆ ก็มีความทุกข์กันทั้งนั้น เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง ฝนไม่ได้ตกอยู่บนหัวเราคนเดียว แบบสติ๊กเกอร์ใน line ปัญหามีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม

6. การอ่านเป็นการเปิดโลกกว้าง ทำให้เรารู้ในสิ่งที่เราไม่รู้ ทำให้เราสามารถเรียนรู้จากชีวิตคนอื่น โดยที่เราไม่ต้องไปเจอกับเรื่องนั้นๆ เอง หนังสือคือแหล่งความรู้ที่มีราคาถูกที่สุด คุ้มค่าที่สุด นั่งทำไรอยู่ หาหนังสือมาอ่านซิครับ

7. มี inner scorecard เป็นมาตรวัดตัวเอง คนที่วัดตัวเองด้วย outer scorecard หรือวัดจากความคิดของคนอื่น อยากได้รับความชื่นชมจากคนอื่น นอกจากจะต้องสร้างความสำเร็จแล้ว ยังต้องป่าวประกาศด้วย มันน่าเหนื่อย!!!

8. เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เรารู้ชัดๆ ตอนนั้นไม่ได้หรอกว่า มันคือโชคดีหรือโชคร้าย เรื่องที่ดูเหมือนเป็นโชคร้าย จริงๆ แล้วอาจจะเป็นโชคดี เรื่องที่ดูเป็นโชคดี จริงๆ แล้วอาจจะเป็นโชคร้ายก็ได้ ถ้าเราดูกันยาวๆ หน่อย

9. อย่าหมกมุ่นกับเชิงปริมาณมากเกินไป เชิงคุณภาพสำคัญกว่าเยอะ มีเพื่อนกินข้าวกี่คนไม่สำคัญเท่ากับว่าเวลาเรามีปัญหา มีเพื่อนกี่คนที่ยินดีรับฟังและช่วยเหลือเรา อ่านหนังสือกี่เล่มไม่สำคัญเท่ากับว่าเราอ่านหนังสือดีๆ ไปกี่เล่ม

10. เราใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเดินทางไขว่คว้า ตอนที่เราถึงจุดหมายเป็นแค่ฉากสั้นๆ ฉากหนึ่งของเรื่องราวทั้งหมด ถ้าเราไม่มีความสุขระหว่างทาง เราจะเสียเวลาส่วนใหญ่ของเราไป

11. อย่าใช้เงินเป็นตัวตั้งมากเกินไป เพราะจริงๆ เราไม่ได้อยากได้เงินเพราะอยากได้เงิน แต่เราอยากได้เงินเพราะคิดว่าเงินมันจะทำให้เรามีความสุข

12. ความฝัน ไม่ได้มีไว้ให้ฝัน แต่มีไว้ให้เราทำให้มันเป็นจริง นั่งฝันแล้วไม่ลงมือทำ มันก็คงเป็นได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ

13. อยากทำอะไร ทะยอยทำ อย่าบอกตัวเองว่าเดี๋ยวจะทำตอนอายุเท่านั้นเท่านี้ ชีวิตคนเราไม่แน่นอน เราไม่มีทางแน่ใจได้เลยว่า นาทีต่อไป เราจะยังหายใจอยู่หรือเปล่า

14. กราฟชีวิตคนเรามีหลายแบบ พุ่งจากล่างขึ้นบน ดิ่งจากบนลงล่าง ราบเรียบไปเรื่อย พุ่งแล้วราบเรียบ พุ่งแล้วดิ่ง สารพัดแบบฉะนั้น ตอนอยู่สูง อย่าผยอง ตอนตกต่ำ อย่าท้อ

15. ความรักที่แท้จริงคือการให้ที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน การให้ที่หวังสิ่งตอบแทนไม่ใช่ความรักที่แท้ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนกัน

16. การปฏิบัติกับคนอื่นแตกต่างกันตามฐานะหรือสถานะทางสังคม เป็นสิ่งไม่ควรทำ ลูกเศรษฐีที่งอมืองอเท้าไปวันๆ จะมีค่ามากกว่าคนกวาดขยะที่ตั้งใจทำงานได้ยังไง ไม่เข้าใจ

17. การปฏิบัติกับคนอื่นเป็น butterfly effect เราโมโหใส่คนอื่นแบบไม่มีเหตุผล คนที่ถูกโมโหก็อาจจะไปโมโหคนอื่นต่อ ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเรายิ้มแย้มกับคนอื่น เค้าก็อาจทำแบบเดียวกันกับคนอื่นต่อ ต่อไปเรื่อยๆ

18. อย่าเชื่อใครเพียงเพราะเค้ามีสถานะเหนือกว่าหรืออายุมากกว่า เช่น ครูจะพูดถูกก็เพราะสิ่งที่ครูพูดมันถูก ไม่ใช่ถูกเพราะครูเป็นครู

19. การเลือกที่จะมีความสุขเป็นการตัดสินใจอย่างหนึ่ง เราสามารถเลือกที่จะมีความสุขได้ในนาทีนี้เลย โดยที่ชีวิตเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยด้วยซ้ำ

20. อย่ายอมให้ใครมาทำลายความฝันหรือบั่นทอนเรา เค้าไม่รู้จักเรา เค้าไม่มีสิทธิ์มาพิพากษาชีวิตเรา แต่ยังไงก็ตาม เราก็ต้องไม่หลอกตัวเองด้วย

21. การต่อสู้เพื่อความถูกต้องไม่ใช่เรื่องง่ายต้องอดทนอดกลั้น

22. ก่อนจะนับถือชื่นชมใคร ดูละเอียดๆ ซักนิด อย่าดูแต่เปลือก คนเรามักจะให้เราเห็นเฉพาะสิ่งที่เค้าอยากให้เราเห็นเท่านั้น

23. ควรสนับสนุนชื่นชมคนทำดี เค้าคงทำดีของเค้าแหละ แต่อย่างน้อย เค้าจะได้มีกำลังใจมากขึ้น

24. คุณลักษณะอย่างหนึ่งของคนที่ประสบความสำเร็จคือการ focus อย่าทำอะไรสะเปะสะปะ เยอะแยะไปหมด แต่ไม่เชี่ยวชาญอะไรเลย ชีวิตคนเราต้องมีวิชาเอก

25. ความสำเร็จที่เกิดจากทักษะเท่านั้นที่จะเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกได้อย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จที่เกิดจากโชคมันไม่ยั่งยืน เปลืองธูปด้วย เพราะเราต้องไหว้เจ้าเยอะ

26. การซื้อของ เราได้ของมาก็จริง แต่พอนานๆ ไป ค่าของมันก็จะน้อยลง เรามักเห่อแค่ตอนแรกๆ ในทางตรงกันข้าม การซื้อประสบการณ์ มันจะตราตรึงในความทรงจำของเราตลอดไป

27. โลกเราไม่มีอะไรที่เราจะได้มาฟรีๆ ทุกอย่าง เราต้องเอาอะไรบางอย่างไปแลกมาทั้งนั้นอย่างน้อยก็เวลาที่ใช้ไปคิดดูดีๆ ก่อนว่า มันคุ้มมั๊ย

28. ความฝันของเราไม่จำเป็นต้องไปเหมือนความฝันของใคร คนอื่นมองไม่เห็น ช่างเค้า เราเห็นของเราก็พอ มีฝันแล้วก็ต้องพยายาม ทุ่มเททุกสิ่งให้แก่ความฝันซึ่งมีแต่เราเท่านั้นที่มองเห็น

29. การพยายามอย่างหนักดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่ทิศทางสำคัญที่สุด ถ้าเราวิ่งผิดทาง ยิ่งเราวิ่งเร็วเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งห่างไกลจากเป้าหมายของเรามากขึ้นเท่านั้น

30. ชีวิตคนเราแต่ละคนเป็นเหมือนเสื้อผ้าสั่งตัด ไม่ใช่เสื้อผ้าสำเร็จรูป ไม่มีชุดไหนที่เหมือนกันเป๊ะๆ เราไม่ควรไปเปรียบเทียบชีวิตของเรากับใคร คนอื่นจะดีหรือแย่ยังไง ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นหรือแย่ลง เราจะดีขึ้นหรือแย่ลงก็เพราะน้ำมือตัวเองทั้งนั้น จะเปรียบเทียบ ก็เทียบตัวเองในวันนี้กับตัวเองเมื่อวาน ว่าเราได้พัฒนาตัวเองหรือเปล่า

31. ทำดีได้ดี ทำไม่ดีได้ไม่ดีหรือเปล่า ไม่แน่ใจ ทำดีสบายใจ ทำไม่ดีไม่สบายใจจริงม๊ย เค้าไม่รู้ เพราะคนทำไม่ดีก็สามารถหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองให้สบายใจได้ เอาเป็นว่า ทำดีได้ทำดี

32. การทำดีของคนคนนึง อาจไปกระตุ้นให้คนอื่นๆ อีกหลายคนอยากทำดีด้วย เหมือนการโยนก้อนหินลงไปในบ่อน้ำ น้ำจะกระเพื่อมขยายวงออกไป

33. การใช้ชีวิตเป็นศิลปะ ไม่ได้มีสูตรสำเร็จเป๊ะๆ ในทุกสถานการณ์ มีความคิดที่ยืดหยุ่น ประเมินสถานการณ์ แล้วเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะสม บางครั้ง น้ำขึ้นให้รีบตัก แต่อีกหลายครั้ง ช้าๆ ได้พร้าเล่ม
งาม หลายครั้ง ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น แต่บางครั้ง เราก็ต้องรู้จักถอย

34. คนชอบคิดไปว่า เป็นจอมยุทธ์แต่งตัวดีๆ มีวรยุทธ เป็นประมุขยุทธภพ ดีกว่าเป็นเสี่ยวเอ้อ ที่ต้องคอยเอาผ้าขี้ริ้วปัดโต๊ะ ใครจะรู้ เผลอๆ เสี่ยวเอ้ออาจมีความสุขมากกว่าประมุขยุทธภพซะอีก ไม่งั้น ทำไม ตอนจบ พระเอกชอบชวนนางเอกถอนตัวออกจากยุทธภพแล้วไปเลี้ยงเป็ดปลูกผักตลอด

35. ความคิดเราเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ สิ่งที่เราคิดในวันนี้ วันหน้า เราอาจจะไม่คิดแบบนี้แล้ว อย่าไปคิดว่า แต่ละข้อข้างบนมันถูก พอใช้ชีวิตไปอีกซักพัก อาจจะคิดใหม่ว่ามันไม่ใช่แล้ว

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2558

18 เสริมทัศนคติและพลังในการทำงาน

18 เสริมทัศนคติและพลังในการทำงาน

18 เสริมทัศนคติและพลังในการทำงาน 

1. หาแรงบันดาลใจระหว่างการเดินทาง
ส่วนใหญ่เราจะใช้เวลาในการเดินทางไม่ว่าจะมุดดินหรือลอยฟ้า ไปจมปลักกับโซ เชียลเน็ตเวิร์กเสียเป็นส่วนใหญ่ ลองเปลี่ยนมาฟัง Podcast หรือ Audio Book หรือฟังเพลงที่ทำให้สร้างแรงบันดาลใจดูไหมครับ แต่ถ้าจะให้ผมแนะนำ podcast อาจจะเป็นเรื่องไกลตัวไปสำหรับมนุษย์ไทยลองหยิบหนังสือมาอ่านระหว่างทางดีไหมครับ อาจจะเป็นหนังสืออ่านเล่น หรือแนวการสร้างแรงบันดาลใจก็ได้ครับ ซึ่งปกติเวลาผมไปทำงานผมจะพกหนังสือ 1-2 เล่มไว้ในกระเป๋าเพื่ออ่านเวลาเดินทางหรือต้องรอใครก็ตาม

2. ถึงที่ทำงานก่อนเวลาทำงาน 
การมาก่อนเวลาทำให้เราสามารถโฟกัสว่าจะมีสิ่งใดต้องทำบ้างในวันนี้ สามารถจัดความสำคัญของงานได้ แถมยังเงียบด้วยเพราะคนอื่นเขายังไม่มากัน

3. เช็คอีเมล
หลายคนเลือกเชคเมลเป็นกิจกรรมแรกหลังจากเปิดคอมพิวเตอร์ หรือจ้องจะเชคเมลตลอดเวลาที่ทำงานอยู่ ลองเปลี่ยนเวลาการเชคเมลดูไหมครับ กำหนดเวลาเป็นช่วงๆ (ไม่หลินฮุ่ย) เช่น จะเชคทุก 10 โมง และ 4 โมงเย็น เป็นต้น (วิธีนี้แนะนำเหมือนในหนังสือทำน้อยให้ได้มาก The Power of Less)

4. เวลาที่ใช้ไปในการทำงาน 
ลองคิดดูว่าคุณทำงานบางอย่างโดยเสียเวลาไปแทบทั้งวันหรือเปล่า? แล้วงานที่ทำไปนั้นสำคัญขนาดไหน ลองหันมาโฟกัสงานที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับแรกดูไหมครับ เมื่อเสร็จแล้วจึงค่อยดูอันถัดๆ ไป

5. วางแผนการทำงาน 
ลองวางแผนว่าในวันนี้คุณจะทำอะไรบ้าง มี Objective อะไรบ้างที่ต้องทำ หรือจะวางเป็นรายสัปดาห์ก็ได้เช่นกันครับ เพื่อให้เห็นภาพรวมในการทำงานทั้งหมด

6. หาเวลาพักบ้าง
ลองกำหนดช่วงเวลาในการเบรค หยุดพักการทำงานของคุณเป็นช่วงเวลา เพราะคนเราคงไม่สามารถจดจ่อได้รวดเดียว 4 ชั่วโมง 8 ชั่วโมงแน่ๆ ครับ การพักทำให้เราอาจจะได้ไอเดียอะไรใหม่ๆ หรือเป็นการทบทวนสิ่งที่เราทำอยู่ก็เป็นได้ครับ

7. การประชุม
ให้ดำเนินการประชุมให้อยู่ในหัวข้อ และสนใจที่จะเข้าร่วมฟังหรือออกความเห็น ทั้งนี้ก็เพื่อให้เมื่อออกจากห้องประชุมแล้วเราจะได้เข้าใจอย่างชัดเจนว่าเราต้องทำอะไรและมีเป้าหมายในการทำเป็นอย่างไร

8. ออกกำลังกาย
หาเวลาในการออกกำลังกายบ้างนะครับ การออกกำลังนอกจากจะช่วยลดความเครียดแล้ว ยังสามารถจะช่วยให้คุณสามารถทำงานได้ดีขึ้นจากสมองที่ปลอดโปร่ง

9. ความรอบคอบ 
ความเร็วในการทำงานเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่เมื่อเร็วแล้วก็ต้องแลกกับอัตราความเสี่ยงในการเกิดข้อผิดพลาด ลองลดความเร็วแล้วตรวจทานให้ดี เพื่อที่จะไม่ต้องกลับมาทำใหม่อีกรอบครับ

10. การสนับสนุน 
ลองดูว่าสิ่งที่คุณทำไปสำเร็จมีอะไรบ้างแล้วแชร์ให้คนอื่นได้รับรู้บ้างเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนอืนๆ รวมทั้งสนับสนุนงานของเพื่อนร่วมงานของคนอื่นๆ ด้วย

11. การร่วมกันทำงาน 
อย่ากลัวที่จะขอความช่วยเหลือ ลองให้คนอื่นๆ หรือถามไอเดียจากคนอื่นๆ ดูหากเราไม่สามารถคิดงานหรือทำงานต่อไปได้ (แต่ก็อย่าขอกันบ่อยจนพร่ำเพรือ)

12. เข้าใจและยอมรับ 
ฟังดูปลงๆ หน่อยนะครับ แต่หากเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คงต้องทำกันต่อไปให้ดีที่สุด (และอย่าลืมหาโอกาสที่ดีกว่าให้ตัวเองด้วย)

13. วันหยุด สุดๆ ไปเลย!
วันหยุดหลายๆ คนเลือกจะไปเดินห้างบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ลองหาอะไรทำใหม่ๆ ดูไหมครับแบบไม่ซ้ำกัน เช่น ลองออกไปต่างจังหวัด, ไปปีนเขา, ออกกำลังกายที่ไม่ใช่ในฟิตเนส (อุดอู้อยู่ในร่มทำไม ออกไปกลางแจ้งดีกว่า), เปลี่ยนที่อ่านหนังสือพร้อมจิบกาแฟชิลๆ

14. คิดบวก
อาจฟังดูโลกสวยไปสักนิด แต่การมีอารมณ์คิดบวกนั้น จะมีผลกับงานที่คุณทำ รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่จะได้ประจุบวกจากการทำงานที่มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นบวกไปด้วย

15. เห็นอกเห็นใจ 
แม้เราจะพยายามคิดบวกแล้ว แต่ก็ต้องมีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ยังคงติดอยู่กับความคิดไม่ว่าจะเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัวในแง่ลบอยู่ ครั้นเราจะเพิกเฉยไปเลยก็เหมือนเป็นการปล่อยลอยแพ ดังนั้นสิ่งที่เราน่าจะพอทำได้ก็คือลองยื่นมือให้ความช่วยเหลือด้วยการช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองให้เป็นด้านบวก ลองชี้แจงด้วยเหตุและผล ซึ่งถ้าเขาเปิดใจรับฟังน่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากครับ (ในบทความที่ดึงมาบอกว่า หากเขาได้อ่านบทความนี้ด้วยจะดีมาก)

16. การเมืองในที่ทำงาน 
มันเป็นเรื่องเหนือการควบคุมของเรา ซึ่งการมีเรื่องนี้แน่นอนว่าจะทำให้งานและธุรกิจไม่มีความก้าวหน้าถ้ามัวจมปลักกับเรื่องนี้ สำหรับในส่วนของงานของเราแล้ว เราหันมาโฟกัสกับสิ่งที่ทำเพื่อให้งานก้าวหน้าและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ดีกว่าจะไปหมกมุ่นเรื่องนั้นครับ

17. การติชม 
คนเราย่อมชอบการชม มากกว่าคำตำหนิติเตียนใช่ไหมครับ บางครั้งเราก็ต้อง(พยายาม)เข้าใจในคำเตือนนั้นแม้มันจะไม่น่าฟังก็ตาม ดังนั้นเราก็ควรพิจารณาเลือกฟังคำติเตียนที่สามารถจะเอาไปใช้ในการปรับปรุงงานของเราให้ดีขึ้นได้ นอกนั้นก็คงต้องปล่อยวางนะครับ

18. การปรับตัว
ไม่มีสิ่งไหนที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจ, การงานก็เช่นกัน เราคงไปเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ แต่เราสามารถเลือกที่จะปรับตัวให้กับสภาพและสภาวะการณ์ในปัจจุบันให้ได้ หากว่าคุณอยู่ในระดับบริหาร ลองใช้ประสบการณ์บอกเล่าว่าเราควรต้องทำอย่างไรมากกว่าจะเป็นตัวตั้งตัวตี รอต่อต้านเพียงอย่างเดียว

วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2558

6 ธุรกิจที่เริ่มต้นได้ด้วยเงินหลักพัน

6 ธุรกิจที่เริ่มต้นได้ด้วยเงินหลักพัน


เมื่อพูดถึงการเริ่มต้นธุรกิจแล้วนั้น ผู้คนทั่วไปมักคิดว่าจะต้องเป็นการลงทุนที่มีค่าใช้จ่ายที่สูง จะต้องไปกู้ยืมเงินมาเริ่มต้นลงทุนในช่วงแรกอยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้วยังมีอีกหลายธุรกิจที่เริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียงไม่กี่บาทเท่านั้น เนื่องจากธุรกิจที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้เป็นที่ธุรกิจที่สามารถเริ่มต้นได้โดยไม่ต้องลงทุนเงินมาก ไม่ต้องใช้พนักงาน ไม่ต้องมีออฟฟิศ และอาจไม่ต้องใช้แม้กระทั่งแผนธุรกิจในระยะยาว หลายคนอาจจะมองว่าธุรกิจเหล่านี้เป็นเพียงแค่ธุรกิจเล็กๆ ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวอย่างธุรกิจเหล่านี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่สามารถนำไปต่อยอดพัฒนาและขยับขยายเป็นธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นในอนาคตก็ได้ เรามาดูกันเลยดีกว่าว่าทั้ง 6 ธุรกิจที่เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียงหลักพันนั้นจะมีอะไรกันบ้าง

1.Freelance 


หาทักษะที่ตัวเองมี ฝึกฝนให้ดีแล้วเริ่มรับจ้าง Freelance ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งในการเริ่มต้นธุรกิจโดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนอกจากการเรียนรู้ในด้านที่ตัวเองถนัดให้ดี จริงอยู่ที่ลักษณะงาน Freelance อาจมีรูปแบบคล้ายงานประจำบ้าง แต่อิสระในการรับงานจากหลายเจ้า และกำหนดเวลาทำงานด้วยตัวเองก็ทำให้ Freelance นั้นมีลักษณะคล้ายกับผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าของธุรกิจมากขึ้นเพราะต้องทั้งวางแผนการรับงานและกำหนดการต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพ ทุกวันนี้มีหลายองค์กรที่นิยมใช้บริการของ Freelance กันมากขึ้น ทั้งนักเขียน นักพัฒนาเว็บไซต์ นักพัฒนาแอพลิเคชั่น นักการตลาด รวมไปถึงอีกหลายงานที่บริษัทคาดหวังให้จบเป็นโปรเจคๆ ไป การเลือกใช้ Freelance ก็เป็นอีกทางที่ลดต้นทุนแทนการจ้างพนักงานขององค์กรเหล่านี้ได้มาก 


2.ขายของบน Ebay 


ใครๆ ก็เริ่มต้นขายของในตลาดที่ใหญ่ระดับโลกอย่าง Ebay ได้ ด้วยการแบ่งหมวดหมู่อย่างชัดเจน และการเข้าถึงของลูกค้าจากทั่วโลก ทำให้ Ebay เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจที่จะหาลูกค้าตรงกับความต้องการกับสิ่งที่เราจะขายได้ง่ายกว่าการหาพื้นที่ขายสินค้าแบบ Offline ลองหาไอเดียดูว่าอะไรที่เป็นที่นิยมและเราสามารถหามาขายได้ง่ายๆ หรือถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะรับเป็นนายหน้าขายของใน Ebay ให้กับคนอื่นๆ ที่มีของอยากจะขาย ซึ่งเพื่อไปการลดความเสี่ยงผู้ประกอบการสายนี้ส่วนมากก็มักที่จะตกลงกันว่าจะให้เงินกับผู้ฝากขายก็ตอนที่สินค้าเหล่านั้นขายได้แล้ว จากนั้นค่อยหัก 20% จากราคาขายของสินค้าชิ้นนั้น เพื่อไม่ให้เสี่ยงต่อการรับซื้อสินค้ามาแล้วแต่ขายไม่ออก 


3.โฆษณาบนเว็บ 


การใช้เว็บหาเงินนั้นไม่ได้หมายความว่าเว็บเหล่านั้นจะต้องเป็นเว็บสำหรับขายของเสมอไป เพราะมีเว็บ Content อีกมากมายที่อยู่ได้ด้วยค่าโฆษณาจากแบรนด์อื่นๆ ซึ่งข้อดีของการเป็นเว็บคอนเทนท์นั้นก็คือความประหยัดในเรื่องของต้นทุนที่ไม่ต้องมีการสต็อกสินค้าเอาไว้ขายเหมือนอย่างเว็บที่ทำการค้าต่างๆ แต่ความยากก็คือการหาไอเดียของเว็บคอนเทนท์ว่าควรออกมาเป็นอย่างไร และออกมาในรูปแบบไหนจึงจะตรงกับความต้องการของคนทั่วไป ซึ่งนอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความถนัดในคอนเทนท์ด้านนั้นๆ ของตัวเราเองด้วยว่าสามารถสร้างคอนเทนท์ได้เจาะลึกและน่าติดตามได้แค่ไหน ซึ่งเมื่อทำได้สำเร็จแล้วทีนี้ก็พยายามรักษาปริมาณของผู้เข้าชมเอาไว้ในระดับที่พอใจ จากนั้นค่อยลองติดต่อหาแบรนด์ที่สนใจจะลงโฆษณามาตกลงเรื่องราคากัน หรืออีกแนวทางนึงคือลองศึกษาเกี่ยวกับบริการของ Google Adsense ที่จะเลือกโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับ content ของเรามาลงบนพื้นที่หน้าเว็บให้โดยอัตโนมัติ


4.ขายตรง 


จริงๆ แล้วการขายตรงหรือ Direct Sales เป็นกลยุทธ์ทางการขายอีกอย่างหนึ่งที่ธุรกิจดังๆ มักใช้กัน แต่น่าเสียดายที่ภาพลักษณ์ของการขายตรงในประเทศเรานั้นมักถูกเหมารวมว่าเป็นการหลอกลวงขายฝัน และมีจุดประสงค์หลักในการหาค่าสมาชิกใหม่ๆ เป็นลูกโซ่มาเรื่อยๆ มากกว่าการเน้นไปขายที่ตัวสินค้าและผลิตภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งสินร้านค้าปลีกก็นับได้ว่าเป็นการขายตรงเช่นกัน แต่ทั้งนี้ก็ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่มีลักษณะเป็นธุรกิจขายตรงที่ยังมีภาพลักษณ์ที่ดีอยู่อย่างเช่น เครื่องสำอางมิสทีน เป็นต้น ซึ่งหลักการเลือกธุรกิจขายตรงง่ายๆ ก็ควรเลือกจากธุรกิจที่ดูทันสมัย มีการปรับเปลี่ยนและออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อยู่บ่อยๆ และที่สำคัญต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี มีความน่าเชื่อถือด้วย

 5.ติวเตอร์ 
การเป็นติวเตอร์หรือครูพิเศษนั้นถือเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่เป็นที่แพร่หลายในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะไม่ต้องลงทุนอะไรมากนอกจากความรู้ที่มีและการเตรียมตัวสอนที่ดี ซึ่งทั้งนี้ธุรกิจติวเตอร์นั้นควรเลือกวิชาหรือหลักสูตรการสอนต่างๆ ที่เป็นที่นิยมและที่ตัวเองมีความถนัดเพื่อให้การเรียนการสอนนั้นมีคุณภาพและตรงตามความต้องการของผู้เรียนมากขึ้นจนเกิดกระแสปากต่อปากไปยังผู้ที่สนใจเรียนพิเศษคนอื่นๆ ได้อีกด้วย ซึ่งสำหรับธุรกิจติวเตอร์นั้นในช่วงแรกอาจเริ่มต้นจากเพียงตัวเราเองหนึ่งคนจากนั้นอาจค่อยมีการขยับขยายรวมกลุ่มกันมากขึ้นติวเตอร์ที่ถนัดในด้านอื่นๆ เพื่อสร้างแบรนด์ที่ครบตามหลักสูตรวิชาที่มีคนใจเรียน และที่สำคัญธุรกิจติวเตอร์นี้มักจะประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากกับประเทศที่มีระบบการศึกษาที่ค่อนข้างแย่ แต่มีการแข่งขันที่สูงจนทำให้ผู้ปกครองส่วนมากจึงยอมจ่ายค่าเรียนในอัตราที่สูงเพื่อให้ลูกๆ ตัวเองนั้นแข่งขันกับคนอื่นๆ ได้ 

6.พัฒนา Application 

หากมีไอเดียดีๆ ด้าน Application Online ก็อย่าเก็บเอาไว้เพราะนี่อาจเป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นธุรกิจของเราก็ได้ การปรับไอเดียเป็น Application ออกขายนั้นเป็นอีกวิธีที่เน้นการลงทุนด้านความคิดมากกว่าที่จะใช้เงินในการทำธุรกิจ แต่เรื่องไอเดียนั้นก็ไม่ได้สามารถกลั่นออกมาได้ง่ายอย่างที่คิด ไหนจะต้องมานั่งกังวลปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ Application ในประเทศอีก ทำให้แม้ว่าจะวิธีเริ่มต้นธุรกิจที่ลงทุนไม่มาก แต่ก่อนลงมือพัฒนา Application สักตัวนั้นเราจึงควรศึกษาและวางแผนการทำงานให้ดีเพื่อไม่ให้เวลาที่ใช้ต้องเสียเปล่าไปหาก Application คิดขึ้นมาได้นั้นไม่สามารถทำเงินให้กับเราได้ เช่น เราอาจจะต้องมองให้ไกลให้ Application มีความเป็นสากลขึ้นหากคิดว่า Application ที่คิดอาจไม่เป็นที่นิยมในประเทศตัวเองหรือกลัวปัญหาละเมิดลิขสิทธิ เพราะอย่างน้อยก็สามารถไปจับตลาดอื่นๆ นอกประเทศได้ เป็นต้น 



วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2558

วันนี้คุณเข้าข่ายเสพติดโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือไม่?

มาเช็กกันดูหน่อยดีกว่า ว่าวันนี้คุณเข้าข่ายเสพติดโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือไม่?


วันนี้เราลองมาเช็กกันดูว่าตัวเราเองหรือคนที่อยู่ใกล้ตัวเรานั้นอยู่ในข่ายที่เสพติดโซเชียลเน็ตเวิร์กมากเกินไปหรือเปล่า ดังนี้
1. ใช้เวลา 4 - 5 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้นต่อวันในการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์ก
2. อยู่กับโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นสิ่งแรกตอนตื่นนอนและเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนที่จะนอน อีกทั้งมักจะต้องหยิบสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตขึ้นมาเช็คดูข้อความอยู่ทุกๆ 15 นาที
3. รู้สึกหงุดหงิดและกระวนกระวายมากถ้ามีเหตุที่ไม่ได้เข้าโซเชียลเน็ตเวิร์ก
4. ละเลยครอบครัวและคนใกล้ชิดในชีวิตจริงและชอบที่จะสร้างความสัมพันธ์ รวมถึงมีความสนิทสนมกับเพื่อนในโลกออนไลน์มากกว่าเพื่อนในชีวิตจริง

หากตอนนี้พฤติกรรมของเราเข้าลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายข้อใน 4 ข้อนี้ ถือว่าคุณเสพติดโซเชียลเน็ตเวิร์กแล้ว ซึ่งหมายถึงเราต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง เพื่อแก้พฤติกรรมเสพติดโซเชียลเน็ตเวิร์ก ดังนี้
1. จำกัดเวลาการเข้าโซเชียลเน็ตเวิร์กในแต่ละวันว่าควรใช้วันละไม่เกินกี่ชั่วโมงและใช้ในเวลาใดที่จะไม่มีผลกระทบกับทั้งงาน ชีวิตครอบครัวและชีวิตส่วนตัว เช่น จะใช้เฉพาะในช่วงเวลาพักกลางวัน ช่วงหลังเลิกงาน หรือช่วงก่อนนอน โดยไม่ควรใช้ในเวลาติดต่อกันเกิน 30 นาที - 1 ชั่วโมง ในแต่ละครั้ง
2. อย่าใช้โซเชียลมีเดียหลายตัวเกินไป เพราะมีหลายคนที่เล่นทั้ง Line, Twitter, Facebook, Instagram และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งกว่าจะใช้ จะเล่น จะเช็ก ครบทุกอันก็หมดเปลืองเวลาไปมากทีเดียว ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้คุณเลือกใช้แค่ช่องทางที่จำเป็นก็พอ อันไหนที่ไม่มีประโยชน์กับตัวหรือไม่ได้จำเป็นมากก็ลบออกไปจากสมาร์ทโฟนและแท็ปบเล็ตบ้างก็ดี เพื่อที่เราจะไม่ใช้เวลาในการอยู่กับโลกออนไลน์มากเกินไปเหมือนที่ผ่านมา
3. เพิ่มเวลาทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวให้มากขึ้น เช่น พาคนในครอบครัวไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปออกกำลังกาย ทำอาหารร่วมกัน ติดต่อ พบปะ พูดคุยกับเพื่อนในชีวิตจริงให้มากขึ้นกว่าเพื่อนในโลกออนไลน์ หรือหาสัตว์มาเลี้ยง เช่น สุนัข แมว ปลา หรือหางานอดิเรกที่ไม่ต้องใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กทำ เช่น อ่านหนังสือ ทำงานศิลปะ ปลูกต้นไม้ ทำขนม ซึ่งกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ก็สามารถช่วยทำให้เราได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากการหมกมุ่นอยู่กับโลกโซเชี่ยลเน็ทเวิร์กไปได้เยอะเลยทีเดียว

โซเชียลเน็ตเวิร์กมีประโยชน์มาก ถ้าคุณรู้จักใช้ และควบคุมการใช้งานมันได้ อย่างที่เห็นในปัจจุบันคนส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอสมาร์ทโฟน จนลืมที่จะเงยหน้าขึ้นมามองหน้ากันจริงๆ หรือเล่นจนไม่สนใจคนรอบข้าง สนใจแต่สิ่งที่อยู่ในหน้าจอ อันนี้ก็เข้าข่ายเสพติดเช่นเดียวกัน ใครที่รู้ตัวหรืออาจจะเข้าข่ายกำลังไปสู่อาการเหล่านี้ก็พยายามปรับ จำกัดเวลาการเล่นดังวิธีข้างต้นที่แนะนำนะครับ 


วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

นิทานสอนใจ ความสุขหาได้ที่ไหน

นิทานสอนใจ ความสุขหาได้ที่ไหน

ในตอนกลางดึก มีหญิงชราคนหนึ่งกำลังคลำหาอะไรอยู่สักอย่างรอบๆเสาไฟฟ้าข้างถนน สักครู่หนึ่งมีหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา เห็นหญิงชราผู้นั้นกำลังคลำหาอะไรอยู่ เลยถามขึ้นว่า
ยาย..ยาย ยายกำลังหาอะไรอยู่?” หญิงชราผู้นั้นตอบว่า ยายกำลังหาเข็มเย็บผ้าอยู่ ยายทำตกหายไป ช่วยยายหาหน่อยซิ พวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นจึงช่วยกันหาทั่วไปหมด แต่ก็หาไม่เจอ
ในที่สุดพวกเขาก็สงสัยจึงถามยาย ยาย..ยาย..ยายทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไปที่ไหน
ยายตอบว่า ยายกำลังเย็บผ้าอยู่ในห้องยาย แล้วก็ทำเข็มเย็บผ้าหล่นหายไป แต่ห้องยายมันมืด ยายมองไม่ค่อยเห็นยายก็เลยออกมาที่ถนนเพราะมีแสงสว่างจากไฟฟ้าพอพวกหนุ่มสาวกลุ่มนั้นได้ยินเช่นนั้นก็เลยหัวเราะ แล้วเดินหนีไป
เมื่อเราทำของหาย เราก็ต้องไปหาในที่ที่เราทำหายมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะไปหาที่อื่นเช่นเดียวกัน เมื่อเราแสวงหาความสุขเราก็ต้องหาในจุดที่เราได้สูญเสียความสุขไปมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะหาความสุขที่ไนต์คลับ หรือสถานเริงรมย์ต่างๆ หรือไปหาที่ประเทศนั้นประเทศนี้ หรือไปหาที่คนอื่นความสุขของเราได้สูญหายไปจากตรงไหน? คำตอบก็คือ เราได้ทำหายไปจากใจของเรา ได้สูญเสียความสุขจากตัวเราจากใจเรา
ดังนั้น เราก็ต้องแสวงหาความสุขที่จุดนั้น คือ ในตัวเรา
อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรบ้างครับ ผมเห็นหลายคน เวลาที่มีความทุกข์ ก็พยายามที่จะไปหาความสุขจากที่อื่น เช่น ถ้าเราได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ก็จะทำให้เรามีความสุขได้ แต่พอไปกลับมาแล้ว ก็กลับมาทุกข์อีกเหมือนเดิม บางคนก็คิดว่า ถ้าเราไม่ต้องทำงานก็น่าจะทำให้เรามีความสุขได้ แต่พอลาออกจากงานไปแล้ว สุดท้ายก็ยังคงมีความทุกข์ใจอยู่เช่นเดิม
ดังนั้นถ้าเราต้องการมีความสุขจริงๆ ก็คงต้องหาสาเหตุของความทุกข์ให้เจอ ซึ่งจริงๆ แล้วสาเหตุก็คือ จิตใจของเราเองนี่แหละ ที่ไปปรุง ไปแต่ง จนกระทั่งตัวเราเองรู้สึกว่ามันไม่มีความสุขใดๆ เลย เมื่อเรารู้แล้วว่าเราทำความสุขหายไปจากใจของเรา ที่ที่เราควรจะไปหาความสุขให้เจอ ก็คือในใจเราเหมือนกัน

บทความจาก https://prakal.wordpress.com