วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

10 Tips for each day

Ten Great Tips For Each Day

สิบแง่คิดดีๆสำหรับชีวิตประจำวัน 
1.Stay out of trouble. จงหลีกห่างจากความยุ่งยากเพราะถ้าตกลงไปแร้วมันขึ้นมาได้ยาก.
2. Aim for greater heights. มองเป้าหมายให้สูงๆหน่อย เผื่อเหนียวเอาไว้ พลาดไปเดี๋ยวเดือดร้อน
3. Stay focused on your job. สร้างความชัดเจนให้เป้าหมายของงานที่ทำ เพราะถ้าผิดเป้าหมายแล้วจะเหนื่อย
4. Exercise to maintain good health. ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพ เพราะไม่มีใครช่วยเราได้
5. Practice team work. ต้องเล่นกันเป็นทีม เพื่อเสริมพลัง
6. Rely on your trusted partner to watch your back. Take your time trusting others. ให้เพื่อนร่วมงานที่ดีคอยช่วยสังเกตุงานเราและเราก็แบ่งเวลาไปช่วยเพื่อนด้วย
7. Save for rainy days. ใช้ทรัพยากรเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ด้วยในยามฉุกเฉิน
8. Rest and relax. มีเวลาหยุดพักผ่อนและบันเทิงบ้าง ให้รางวัลกับตัวเอง
9. Always take time to smile. ยิ้มเสมอในทุกสถานการณ์ เดี๋ยวดีเอง
10. Realize that nothing is impossible. รู้ไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

ข้อมูลจาก violetwindinspiration

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558

10 เคล็ดลับเป็นเศรษฐีก่อนอายุ 30

10 เคล็ดลับเป็นเศรษฐีก่อนอายุ 30



1. เดินตามเงินไป : ด้วยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน การเก็บออมเพียงอย่างเดียวไม่ช่วยทำให้คุณรวยได้ แต่คุณต้องรู้จักหารายได้เพิ่มเติมเข้ามาช่วยเสริม
2. อย่าขี้อวด : ไม่จำเป็นต้องรีบซื้อของใช้ฟุ่มเฟือยหรือว่าหรูหรา หากยังไม่พร้อม ใช้ของเก่าไปจนกว่าตัวเองจะมีพร้อม แล้วค่อยหาความสุขให้ตัวเอง
3. เก็บออมเพื่อลงทุน : เหตุผลเดียวที่คุณต้องเก็บออมคือ เพื่อนำไปลงทุนต่อ นำเงินที่คุณเก็บออมไว้ ไปลงทุนในหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์ที่คุณจะไปแตะต้อง หรือนำมาใช้ก่อนเวลาอันควรไม่ได้ โดยพยายามแยกบัญชีที่จะใช้ลงทุนออกมา และไม่ไปใช้รวมกับบัญชีอื่นๆ
4. เลี่ยงการก่อหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ : คิดไว้เสมอว่า อย่าก่อหนี้ หากหนี้ก้อนนั้น ไม่สามารถนำมาสร้างรายได้ต่อให้กับคุณได้ เช่น หากจะกู้ยืมเพื่อซื้อรถ ก็ต้องมั่นใจว่า จะสามารถหารายได้จากรถคันนั้นได้ เพราะคนรวย จะใช้หนี้ในการไปก่อสร้างรายได้เพิ่มเติม แต่คนจน จะนำหนี้มาซื้อสิ่งของที่ตัวเองอยากได้
5. ให้ความสำคัญกับเงิน : ทุกคนต่างก็ต้องการอิสระทางการเงิน แต่เฉพาะคนที่ให้ความสำคัญกับเงินเท่านั้น ที่จะประสบความสำเร็จ
6. เงินไม่หลับ : เนื่องจากเงินจะทำงานตลอดเวลา โดยไม่สนใจเวลา วันหยุด หรือตารางใดๆก็ตาม คุณเองก็เช่นกัน จะต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น เพื่อให้ประสบความสำเร็จ
7. คนจนใช้ชีวิตไม่มีเหตุผล : Bill Gate เคยกล่าวไว้ว่า ถ้าคุณเกิดมาจน ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากคุณตายไปพร้อมความจน นั่นแหละ มีความผิดอะไรเกิดขึ้นกับคุณแล้ว
8. หาพี่เลี้ยงที่รวย : พยายามหาพี่เลี้ยง หรือต้นแบบ ที่รวย และเรียนรู้ หรือศึกษาจากต้นแบบนี้ คนรวยส่วนมาก จะใจกว้างพอที่จะแบ่งปันความรู้ให้กับคุณ
9. พยายามให้เงินทำงานหนัก: ต้องพยายามที่จะทำให้เงินทำงานผ่านการลงทุน และทำให้เงินที่ได้จากการลงทุน มากกว่าเงินที่คุณได้รับจากการทำงาน ถ้าคุณไม่มีเงินเหลือเพียงพอ
10.ฝันใหญ่: ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดคือ การไม่ฝันใหญ่โดยคุณ ต้องพยายามกระตุ้นตัวเองให้หาเงิน หรือเก็บเงินให้ได้มากเพียงพอ ด้วยการมุ่งเป้าหมายไปที่เป้าหมายใหญ่ เพื่อเป็นแรงจูงใจ
ข้อมูลจาก http://marketeer.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

เคล็ดลับความสำเร็จของ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba

เคล็ดลับความสำเร็จของ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba

1. ให้ความสำคัญกับทัศนคติ : Jack Ma บอกว่า สิ่งที่เขาเคยทำผิดพลาดไปอย่างมากคือเมื่อตอนก่อตั้งเว็บไซต์ Alibaba เขาเคยบอกพนักงานไปว่า ตำแหน่งสูงสุดที่พนักงานจะไต่ขึ้นมาได้คือแค่ผู้จัดการเท่านั้น ขณะที่ตำแหน่งบริหาร จะจ้างจากข้างนอก ซึ่ง Jack ได้เรียนรู้ความผิดพลาดนี้ในภายหลัง โดยเขาหันมาให้ความสำคัญกับทัศนคติ และความสนใจใฝ่รู้มากกว่าทักษะทางทฤษฎีต่างๆ

2. ให้ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกัน : Jack Ma รู้ว่าต่อให้พยายามอย่างไร ก็ไม่มีทางจะทำให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงาน คู่ค้า นักลงทุน หรือใครก็ตาม คิด หรือเชื่อได้เหมือนกับคุณไปหมด ดังนั้น เขาจึงหันมาพยายามทำให้ทุกคนมีเป้าหมายร่วมกัน เพื่อที่จะได้ก้าวเดินไปพร้อมๆกันให้บรรลุเป้าหมายได้ทุกคน

3. มองการณ์ไกล : Jack Ma เชื่อว่า ผู้นำที่ดี ควรมีสายตาที่กว้างไกล โดยควรพยายามมองไปข้างหน้า และตัดสินใจทำอะไรให้ล้ำหน้ากว่าคู่แข่งอย่างน้อยหนึ่งก้าว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงให้ความสำคัญกับการคิดเชิงสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก

4. จ้างคนที่มีทักษะที่เหนือกว่าตัวเอง : Jack Ma เปิดเผยว่า เมื่อจะจ้างใครสักคน พนักงานคนนั้น ต้องมีทักษะทางเทคนิคที่เหนือกว่าตัวเขา หากไม่แล้ว ก็แสดงว่าคุณจ้างผิดคน โดยปัจจัยหลักคือต้องมุ่งเน้นไปที่ทักษะของพนักงาน และจ้างคนที่มีความรู้ความชำนาญ

5. ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค : นอกจากสายตาที่กว้างไกลแล้ว  Jack Ma ยังเชื่อว่าผู้นำควรจะไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค์​และมีวิสัยทัศน์ที่เฉียบคม โดยต้องรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และไม่ย่อท้อที่จะไล่ตามสิ่งที่ตัวเองต้องการ ซึ่งจะช่วยผลักดันและสร้างแรงบันดาลใจให้บุคคลรอบข้างพร้อมที่จะร่วมมือเพื่อบรรลุเป้าหมายเดียกวัน

6. ยอมแพ้เท่ากับล้มเหลว : Jack Ma เผยว่า การยอมแพ้ เป็นความล้มเหลวที่เลวร้ายที่สุด ถ้าคุณไม่ยอมแพ้ แต่ทำให้ดีที่สุด แม้สุดท้ายแล้วจะไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย แต่คุณก็ได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง โดยปัจจัยสำคัญของการประสบความสำเร็จคือการเรียนรู้จากความผิดพลาด

7. ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิต : Jack Ma ระบุว่า เขาคิดอยู่เสมอว่า เราเกิดมา ไม่ใช่เพื่อทำงาน แต่เพื่อใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพื่อทำสิ่งที่ดีขึ้นให้กับคนอื่นๆ ถ้าคุณเอาแต่ใช้ชีวิตเพื่อทำงานเพียงอย่างเดียว สุดท้ายก็จะเสียใจ หากคุณมีเป้าหมายเพื่อเงิน ก็ควรจะต้อเปลี่ยนความคิดแล้วหล่ะ

8. ไม่สร้างศัตรู : หลักปรัชญาที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจของ Jack Ma ก็คือ สร้างบรรยากาศในการแข่งขันที่เป็นมิตร เขาไม่มองว่าคู่แข่งเป็นศัตรู แต่มองว่าเป็นเพื่อนที่จะช่วยกันท้าทายซึ่งกันและกันให้แต่ละฝ่ายนำความสามารถของตนเองมาใช้ได้อย่างถึงขีดสุด

ที่มา : http://marketeer.co.th



วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

จิ๋วแต่แจ๋ว องค์กร “เล็ก” แต่ลูกน้อง “รัก”

จิ๋วแต่แจ๋ว องค์กร เล็กแต่ลูกน้อง รัก

เปลี่ยนองค์กรเล็กๆของคุณให้มีศักยภาพ และน่าสนใจเป็นที่ต้องการของพนักงานเก่งๆ ได้ง่ายๆดังนี้ 

            สร้างวัฒนธรรมองค์กรสุดเจ๋ง 
            พนักงานไม่ได้ต้องการบริษัทที่เป็นแค่สถานที่ทำงาน และที่จ่ายเงินเดือนให้พนักงานเท่านั้น แต่พวกเขาต้องการบริษัทที่มีสภาพแวดล้อม และวัฒนธรรมที่เอื้อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ พนักงานทำงานอย่างมีความสุข และมีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงาน ซึ่งคุณต้องนำเสนอจุดเด่นขององค์กรให้พวกเขาเห็นว่าคุณทำงานกันอย่างไร รวมถึงคุณดูแลพวกเขาดีเพียงใด 

            เปลี่ยนวิธีการสัมภาษณ์ 
            ตอนที่คุณสมัครงาน คุณเคยปฏิเสธงานเพราะไม่ประทับใจในการสัมภาษณ์หรือไม่ ผู้สมัครของคุณก็อาจเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ลองย้อนกลับมาคิดดูว่า คุณเสียผู้สมัครไปกี่คนจากการสัมภาษณ์ ลองสอบถาม feedback จากพวกเขาดู หรือไม่ก็ให้เพื่อนของคุณลองมาสัมภาษณ์กับบริษัทของคุณ และสอบถามเขาว่า เขารู้สึกอย่างไรบ้างกับการสัมภาษณ์ คุณจะได้รีบนำมาปรับปรุงแก้ไข ก่อนที่จะเสียผู้สมัครคนอื่นๆ ไปอีก 

            อยู่กับปัจจุบันและอนาคต 
            เป็นไปไม่ได้เลยที่บริษัทจะไม่มีคนลาออก บริษัทส่วนใหญ่กำหนดให้พนักงานที่ลาออกอยู่ทำงานให้ครบตามกำหนดก่อนจะย้ายที่ใหม่ แต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าพวกเขาไม่ได้สนใจทำงานให้คุณแล้ว ลองลดช่วงเวลาที่พนักงานเก่าจะต้องอยู่ทำงานต่อให้สั้นลง เพื่อที่คุณจะได้รับพนักงานใหม่ไฟแรงมาให้เร็วที่สุด ให้เวลากับการฝึกฝนคนใหม่ และยินดีกับความก้าวหน้าของพนักงานที่ได้ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ 

            ให้ความสำคัญกับค่าตอบแทน 
            ถึงแม้ว่าในปัจจุบันค่าตอบแทน จะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของคนทำงาน เพราะเดี๋ยวนี้คนทำงานหันมาให้ความสำคัญในเรื่ององค์ประกอบต่างๆ ที่สร้างความสุขในการทำงาน และความน่าท้าทายของงานมากกว่า แต่คุณอย่าเพิ่งคิดว่าเรื่องค่าตอบแทนไม่สำคัญนะคะ มันยังคงสำคัญอยู่ ถ้าคุณลดค่าตอบแทนลงเมื่อไหร่ลูกน้องคุณหนีไปหมดแน่ๆ วิธีที่ดีกว่านั้น คุณต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายอื่นๆ หรือหาทางเพิ่มรายได้ เพื่อที่คุณจะสามารถจ่ายให้พนักงานได้อย่างเหมาะสมกับศักยภาพที่พวกเขามี 

            ถึงบริษัทใหญ่ๆ จะเป็นเป้าหมายใครหลายๆ คน แต่คุณก็สามารถทำให้บริษัทเล็กๆ ของคุณ ได้พนักงานดีๆ มาร่วมงานด้วย ช่วยกันคิด ช่วยกันทำและช่วยกันสร้างให้ยิ่งใหญ่ขึ้นได้ในสักวัน 


ข้อมูลจาก http://www.prosofthrmi.com/

วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558

5 คำพูด “กระชากใจหัวหน้า” เวลาประชุม

5 คำพูด กระชากใจหัวหน้า เวลาประชุม

ผมหาวิธีแก้ปัญหาได้
หัวหน้าผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเรานั้นต้องเจอกับปัญหาเรื่องงานนานัปการที่กรอกหูกรอกตามาทั้งวัน การที่มีใครคนนึงเสนอทางออกหรือหนทางแก้ปัญหาที่ดีให้กับเขา จะทำให้หัวหน้าถึงกับชื่นอกชื่นใจเลยทีเดียว ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจกับการคิดหาหนทางในการแก้ปัญหานั้นๆ เมื่อหาได้แล้วก็ลองไปเสนอแนะให้เขาดู โชว์ศักยภาพของเรา แสดงความมุ่งมั่น และเผยต่อมความสร้างสรรค์เพราะไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นการพัฒนาให้ตัวเราเองทั้งนั้นครับ

ผมรับผิดชอบเอง
เราทุกคนต่างก็ทำผิดพลาดกันได้ทั้งนั้น การแสดงความรับผิดชอบจะช่วยบ่งบอกถึงศักยภาพของเรา และการรับมือกับปัญหาได้ดี ถ้าเป็นไปได้บอกหัวหน้าด้วยว่าเพราะอะไรเราถึงทำพลาด เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก เชื่อเถอะครับว่าอุปสรรคมีคุณค่าต่ออนาคตคนเรา เสมอ

ผมทำงานนี้เอง
เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากจะเพิ่มหน้าที่ความรับผิดชอบที่นอกเหนือจากขอบเขตงานของตนเองหรอก เงินก็ไม่ได้เพิ่ม แฟนก็ไม่ได้สวยหล่อขึ้น แต่หากลองมองมุมกลับเราจะพบว่านี่คือโอกาสที่เราจะแสดงให้หัวหน้าเห็นว่าเรามีศักยภาพและความพร้อมมากแค่ไหน เกิดวันดีคืนดี เราอาจได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมา รับรองว่าเงินก็ได้เพิ่มขึ้น จะหาแฟนสวยหล่อก็ยังไหว ครับ

มาเดี๋ยวผมช่วย
การยื่นมือช่วยเพื่อนร่วมงานที่กำลังมีปัญหากับตัวงานนั้น นอกจากจะเป็นการแสดงความมีน้ำใจต่อผู้อื่นแล้ว ยังช่วยทำให้หัวหน้าเห็นว่าเราสามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ได้ และสามารถทำงานที่นอกเหนือจากบทบาทหน้าที่ของเรา ความมีน้ำใจคือของชั้นดี ไม่ต้องเสียทรัพย์ และมีผลต่อผู้พบเห็นมาก

ผมมีไอเดีย!
เวลาที่เรามีไอเดีย หรือมุมมองใหม่ๆดำผุดดำโผล่อยู่ในหัวและเสนอออกมาในที่ประชุม นั่นจะทำให้เราดูโดดเด่นในสายตาของหัวหน้าเลยเชียวล่ะ เพราะมันแสดงถึงการที่เราให้ ใจกับการทำงาน และยังให้ความสนใจอย่างเต็มที่กับทีมและบริษัทอีกด้วย จำไว้เสมอครับว่าทุกสิ่งสำเร็จได้เพราะ ใจ

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.marketingoops.com/

วันพุธที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2558

23ข้อดี ของการ "อ่านหนังสือ" เป็นประจำ


23ข้อดี ของการ "อ่านหนังสือ" เป็นประจำ

1.อ่าน นิยายทำให้สมองทำงานดีขึ้นไปหลายวัน
ผลการศึกษาของ Emory University บอกว่าการอ่านนิยาย การอ่านหนังสือ ทำให้การเชื่อมต่อของสมองและการทำงานกับส่วนต่างๆ กล้ามเนื้อสมองส่วนต่างๆ ดีขึ้น เพราะเมื่อเราเข้าไปอยู่ในโลกของคนเขียนและต้องมองภาพตาม จินตนาการตาม นั่นคือการกระตุ้นการทำงานของสมองชั้นดี

2.อ่านหนังสือช่วยป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และสมองเสื่อม
การอ่านหนังสือ ก็คือ การออกกำลังกายของสมอง และนั่นทำให้เป็นการป้องกันโรคเกี่ยวกับสมอง อย่าง อัลไซเมอร์ และสมองเสื่อมได้ดี

 3.อ่านหนังสือช่วยลดความเครียด
University of Sussex บอกว่าการเริ่มอ่านหนังสือไปได้เพียงแค่ 6 นาทีก็เริ่มลดความตึงเครียดได้ เพราะฉะนั้น การอ่านหนังสืออาจจะคลายเครียดได้ดีกว่าการฟังเพลง หรือเดินเล่นเสียด้วยซ้ำ

 4.อ่านหนังสือช่วยให้คุณ หลับสบายขึ้น
อ่านหนังสือทำให้ใจเย็นลง นอกจากนี้ หากแสงไฟทำให้ร่างกายรู้สึกว่าต้องตื่น การอ่านหนังสือในแสงนุ่มๆ อ่อนๆ ก็ทำให้ร่างกายรู้ว่าถึงเวลาจะต้องพักผ่อนและหลับเช่นกัน

 5.อ่านหนังสือช่วยให้คุณเข้าใจคนอื่นมากขึ้น
แม้จะเป็นเรื่องจริง หรือไม่จริงก็ตาม หากคุณอ่าหนังสือ คุณจะเหมือนถูกดึงเข้าไปอยู่ในโลกๆ นั้นของหนังสือ และทำความเข้าใจราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เขียนขึ้นมา และทำให้คุณเข้าใจคนอื่นๆ มากขึ้น ซึ่งสามารถส่งผลต่อชีวิตจริงของคุณได้เช่นกัน

 6.หนังสือแนวแนะนำการใช้ชีวิต ช่วยลดอาการซึมเศร้าได้จริง
การศึกษาหนึ่ง นำเอาคนที่เป็นโรคซึมเศร้า มาอ่านหนังสือแนวแนะนำการใช้ชีวิต ฮาวทู ต่างๆ พบว่ามันช่วยลดอาการซึมเศร้าได้จริงๆ


7.อ่านหนังสือทำให้คุณมีเสน่ห์ขึ้น
ผลการศึกษาชี้ว่า การอ่านหนังสือทำให้คนรู้สึกว่าคุณมีความคิด ความอ่าน และฉลาด ซึ่งนำไปสู่ความคิดที่ว่าคุณมีเสน่ห์มากกว่า ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณลักษณะเด่นๆ ที่ผู้หญิงส่วนมากมองว่าผู้ชายเซ็กซี่เลยล่ะ

8.ส่วนมากคนที่อ่านหนังสือจะมีเป้าหมายชีวิตชัดเจน
โดยเฉพาะการอ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตคนที่ประสบความสำเร็จ มักส่งผลให้เกิดแรงบันดาลใจให้คนที่อ่าน อยากทำตาม ดำเนินรอยตาม และตั้งเป้าชีวิตของตนเองเช่นกัน

9.คนที่อ่านหนังสือ จะยอมรับความต่างทางวัฒนธรรมได้ดีกว่า
การศึกษาของ National Endowment for the Arts ชี้ว่า คนที่อ่านมาก จะรู้มากและเข้าใจความต่างทางวัฒนธรรม และมีแนวโน้มที่จะยอมรับในความแตกต่างนั้นๆ ได้ดีกว่า

 10.อ่านหนังสือ ผ่อนคลายและช่วยบรรเทาได้พอๆ กับการฟังเพลงหรือดูหนัง
หากคุณเจอเรื่องเครียดๆ มา อ่านหนังสือช่วยได้ และนอกจากนี้ The American University บอกว่า หากคุณอ่านหนังสือ และเจอตัวละครหรือบทบาทใดที่เจอเรื่องคล้ายๆ คุณ อาจจะช่วยให้คุณรู้ว่าคุณควรทำอย่างไรให้ผ่านเรื่องร้ายๆ ไปได้

11.อ่านหนังสือ จะมีความจำที่ดีกว่า ฉลาดกว่า
เพราะการอ่านหนังสือคือการออกกำลังกายสมอง ทุกครั้งที่อ่าน คุณจะมีความทรงจำใหม่ สมองจะได้ทำงาน และฝึกฝนความจำได้ดีขึ้นนั่นเอง

12.อ่านหนังสือทำให้คุณรู้คำศัพท์มากขึ้น
Rhode Island Hospital เปรียบเทียบคำศัพท์ที่เด็กเข้าใจเพิ่มมากขึ้น ด้วยการลองเทียบเด็กสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้มีคนอ่านหนังสือให้ฟัง กลุ่มสองไม่มีคนอ่านให้ฟัง พบว่าเด็กกลุ่มแรกรู้ศัพท์เพิ่มขึ้น 40% กลุ่มที่สองแค่ 16% เท่านั้น

13.อ่านหนังสือทำให้คุณเขียนดีขึ้น
การอ่านหนังสือมากๆ โดยเฉพาะหนังสือดีๆ การเขียนของคุณจะดีขึ้นตามไปด้วย ไม่ต่างจากการฟังเพลงดีๆ มากมาย และส่งผลต่อการเขียนเพลง ทำเพลงของนักดนตรี
14.คนอ่านหนังสือมีแนวโน้มชอบออกกำลังกาย
จากการสำรวจพบว่า คนชอบอ่านหนังสือ จะชอบออกกำลังกายด้วย นั่นคือข้อดีที่นอกจากคุณจะได้ความรู้แล้ว ร่างกายยังแข็งแรงอีกด้วย!

15.คนอ่านหนังสือมากมีแนวโน้มช่วยสังคม
นอกจากชีวิตคุณเองจะดีแล้ว คนที่อ่านหนังสือยังอยากพัฒนาชีวิตคนอื่นๆ ซึ่งส่วนมากคนพวกนี้จะชอบทำงานอาสาสมัครและการกุศลอีกด้วย เพราะคนที่อ่านมาก จะเข้าใจชีวิตคนอื่นมากกว่า โดนเฉพาะคนที่แย่กว่านั่นเอง

16.คนอ่านหนังสือจะใจกว้าง
ผลการศึกษาใน the Creativity Research Journal ระบุว่า คนที่อ่านหนังสือมากๆ มีแนวโน้มที่จะเปิดรับและเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวได้ดีกว่า และมากกว่าคนที่ไม่อ่านหนังสือเลย

17.การอ่านทำให้เรียนภาษาง่ายขึ้น
ผลจากการศึกษาในหลายๆ ที่พบว่า การอ่านทำให้สมองในซีกที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้านภาษาทำงานได้ดีขึ้น

18.การอ่านทำให้คุณเป็นคนฟังที่ดีขึ้น
การฟัง คือสิ่งที่สำคัญมากๆ ในหลายๆ ด้านชองชีวิต ตั้งแต่เรื่องความสัมพันธ์จนถึงเรื่องวิชาการ และการอ่านจะช่วยคุณให้ฟังได้เข้าใจขึ้น ง่ายขึ้น จดจำได้ดีขึ้น เพราะคุณรู้ศัพท์มากกว่า เข้าใจได้ง่ายกว่านั่นเอง

19.อ่านมากยิ่งเป็นคนสร้างสรรค์มาก
เมื่อผู้สอนที่ Obafemi Awolowo University นำการสอนแบบให้เด็กเล็กได้อ่านการ์ตูนนั้น พบว่าเด็กมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น

20.พ่อแม่ที่อ่านหนังสือให้ลูกฟัง จะมีความสัมพันธ์กับลูกที่ใกล้ชิดมากขึ้น
นักจิตวิทยาบอกว่า การอ่านหนังสือให้ลูกฟังจะสร้างสายใยระหว่างพ่อแม่ลูกได้ดีมาก และแน่นอนว่าดีกว่าการให้ลูกดีทีวี หรือเล่นคอมพิวเตอร์แน่นอน

21.อ่านหนังสือมากมีแนวโน้มการเงินมั่นคง
จากการสำรวจพบว่า ผู้ใหญ่ที่ไม่อ่านหนังสือ 43% มีชีวิตอยู่ในความยากจน ส่วนคนที่อ่านหนังสือเป็นประจำนั้น 4% เท่านั้นที่ยากจน

22.เด็กที่ชอบอ่านหนังสือเป็นประจำ ไม่จำเป็นต้องหยังสือเรียนนั้น มีแนวโน้มเรียนดีกว่า
เพราะเด็กพวกนี้จะมีการฝึกสมองอยู่เป็นประจำ ความจำดี เรียนรู้ศัพท์ได้มากกว่า นั่นทำให้มีแนวโน้มเรียนดีกว่าในโรงเรียน

23.อ่านหนังสือช่วยให้นักโทษไม่กลับไปทำผิดอีก
จากการศึกษาพบว่า นักโทษที่อ่านหนังสือในคุก และผ่านคอร์สการอ่านเพื่อบำบัดนักโทษ มีแนวโน้มไม่ทำผิดอีกเมื่อออกจากคุกเพิ่มขึ้น 30% ทำให้บางประเทศ อาทิ บราซิล เสนอให้มีการลดโทษ หากนักโทษเลือกที่จะอ่านหนังสือระหว่างติดคุก

ขอบคุณข้อมูลจาก https://blog.eduzones.com/


วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

20 สิ่งที่คุณไม่ควรเขียนใน เรซูเม่ (Resume)

20 สิ่งที่คุณไม่ควรเขียนใน เรซูเม่ (Resume)
20 Things You Should Leave Off Your Resume
     


















































































1. Secondary skills.
ความสามารถอื่นๆของคุณ
ถ้าคุณมีความสามารถอื่นๆที่คุณมั่นใจว่าจะพัฒนาต่อไปในงานใหม่ที่คุณกำลงสมัคร ให้คุณใส่เอาไว้ในอันดับแรกๆของเรซูเม่ของคุณ แต่ระวัง! เอาความสามารถที่คุณคิดว่าคุณจะไม่ทำหรือทำได้ไม่ดีแน่ๆในงานที่คุณกำลังสมัครออกซะ ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะลำบากในภายหลังที่จะต้องทำมันในขณะที่หัวหน้างานของคุณคาดหวังว่าคุณควรต้องทำมันได้ดี

2.
High school jobs.
งานรับจ๊อบระหว่างที่คุณอยู่ชั้นมัธยม
อย่าใส่เรื่องเกี่ยวกับงานเล็กๆน้อยๆที่คุณรับทำในระหว่างที่คุณเรียนอยู่ชั้นมัธยม ยกเว้นว่าคุณเพิ่งจะเรียนจบชั้นมัธยม

3.
The unprofessional (silly) email account.
ชื่ออีเมล์ที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ (หรือ อีเมล์ที่ดูเด็กๆ ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่)
ถ้าคุณยังคงใช้ชื่ออีเมล์เก่าๆ เดิมๆ ตลอดเวลา เช่น
missu@hotmail.com เลิกใช้มันซะ !!! และสร้างอันใหม่ที่ดูเป็นมืออาชีพมากกว่านี้


4.
Misspelled words and poor grammar.
สะกดคำผิดๆและใช้ไวยกรณ์ที่ไม่ถูกต้อง
การที่คุณสะกดคำผิดๆหรือใช้ไวยกรณ์ไม่ถูกต้องเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้คุณไม่ได้รับแม้แต่โอกาสที่จะสัมภาษณ์งาน ตรวจคำผิดหลายๆครั้งด้วยตัวคุณเอง และควรให้เพื่อนหรือคนอื่นตรวจให้คุณอีกครั้งก่อนที่จะส่งเรซูเม่

5.
Superfluous things.
ใส่ข้อมูลมากมายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงาน
อย่าใส่ข้อมูลมากมายที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่คุณจะสมัคร โดยเฉพาะเรื่องงานอดิเรก ลงในเรซูเม่ของคุณ แต่คุณสามารถเก็บสิ่งเหล่านี้ไปเล่าในระหว่างที่คุณสัมภาษณ์งาน สิ่งที่คุณสามารถใส่ลงในเรซูเม่ของคุณได้คือเรื่องที่คุณทำงานเพื่อสังคมหรือเรื่องเกี่ยวกับงานเดิมของคุณ

6.
Old-school resume formatting.
รูปแบบเรซูเม่แบบเดิมๆ
เปลี่ยนรูปแบบเรซูเม่ของคุณเสียบ้าง หารูปแบบใหม่ๆที่ดูสะดุดตา เพื่อให้นายจ้างรู้สึกประทับใจแล้วรู้สึกว่าคุณน่าสนใจ แต่ไม่ใช่เรซูเม่แบบที่เน้นสีสรร และดูไม่เป็นมืออาชีพ ใช้ฟอนต์ (
Font) เดียวกันทั้งเรซูเม่/เอกสารเพื่อให้ดูไปในทำนองเดียวกัน

7.
The "Objective" section.
เป้าหมายในการทำงาน
แทนที่จะพรรณาว่าอะไรที่คุณค้นหาคุณต้องการอะไรในการที่จะเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ อย่าลืมที่จะใส่
เป้าหมายในการทำงานของคุณ บอกผู้สัมภาษณ์งานว่าคุณมีความสามารถอะไรบ้างและความสามารถนั้นของคุณมีประโยชน์อะไรบ้างกับองค์กร

8.
Personal information.
เรื่องส่วนตัว
คุณไม่จำเป็นที่จะต้องบอกเรื่องความเห็นเกี่ยวกับเชื่อชาติ และ ศาสนา (ยกเว้นว่างานนั้นๆจะเกี่ยวข้องกับ 2 เรื่องนี้) เหตุผลที่คุณเปลี่ยนงาน ที่อยู่และ ชื่อของนายจ้างเดิม


9. A photo.
รูปถ่าย 
รูปถ่ายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญและเป็นหนึ่งสิ่งที่จะสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้สัมภาษณ์ของคุณ และเป็นสิ่งที่จะทำให้คุณได้รับโอกาสในการเรียกเข้าสัมภาษณงาน ดังนั้น ใส่รูปที่เป็นมืออาชีพ ไม่ใส่รูปกลุ่ม และไม่ควรจะใส่รูปที่ดูเหมือนถ่ายเล่นอยู่กับเพื่อน เว้นเต่คุณจะเป็นดารา

10.
Gaps in work experience (if you can).
ช่วงเวลาของประสบการณ์ทำงาน
คุณอาจจะมีช่วงเวลาที่ว่างงานสัก 2-3 เดือนในระหว่างที่คุณลาออกจากงานเดิมและหางานใหม่ พยายามเติมช่องว่างหรือช่วงเวลาว่างๆนั้นด้วยงานเพื่อสังคมหรือประสบการณ์ในการไปช่วยธุรกิจเล็กๆน้อยของเพื่อนเก่าคุณ (ซึ่งคุณสามารถใส่ว่าคุณไปช่วยในฐานะที่ปรึกษา)

11.
Your home number (if you still have one).
เบอร์โทรศัพท์บ้าน (ถ้ามี)
อย่าใส่เบอร์โทรศัพท์บ้านของคุณ แต่ควรจะใส่เบอร์มือถือของคุณลงในเรซูเม่ ผู้สัมภาษณ์งานชอบที่จะติดต่อคุณได้ตลอดเวลา ไม่ใช่เฉพาะเวลาที่คุณอยู่บ้านเท่านั้น

12.
References.
บุคคลอ้างอิง
เราแนะนำให้คุณใส่ชื่อบุคคลอ้างอิงในเรซูเม่ของคุณ ถ้าคุณไม่ใส่ คุณก็จะถูกถามในระหว่างการสัมภาษณ์งานอยู่ดี พยายามใส่รายชื่อบุคคลอ้างอิงให้มากที่สุดเท่าที่คุณสามารถทำได้ หรืออย่างน้อย 2 คน

13.
The second page.
หน้าที่ 2 ของเรซูเม่
พยายามใส่สิ่งที่สำคัญๆ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณและประสบการณ์ทำงานในหน้าแรกของเรซูเม่ของคุณเท่านั้น เพราะผู้สัมภาษณ์งานส่วนมากแทบจะไม่เปิดหน้าที่2 ของเรซูเม่ของคุณ

14.
Beginning and end months.
วันเริ่มต้นและสิ้นสุดของเดือน
ใส่เฉพาะปีที่เริ่มต้นและปีที่สิ้นสุดการทำงานในประสบการณ์ทำงานของคุณ อย่าใส่เดือนที่เริ่มต้นและสิ้นสุด ยกเว้นว่าตำแหน่งงานเดิมนั้นจะเริ่มต้นและสิ้นสุดภายในปีเดียวกัน

15.
The word "Resume."
หัวข้อ เรซูเม่” อย่า!! อย่าตั้งหัวข้อของเรซูเม่คุณว่า เรซูเม่

16.
Paragraphed job descriptions.
ย่อหน้าของแบบบรรยายลักษณะงาน
ใช้
Bullet Point ในการอธิบายลักษณะงานของคุณ แต่คุณควรระวังที่จะไม่ใช้มันมากจนเกินไป เพราะมันทำให้ผู้อ่านตาลาย ผู้สัมภาษณ์งานส่วนมากจะเลิกอ่านเรซูเม่ที่มีย่อหน้าและเนื้อหามากจนเกินไป และมักจะเลือกอ่านเรซูเม่ที่จัดวางเป็น Bulletที่อ่านง่ายและสะอาดตา

17.
Salary figures--past and future.
จำนวนเงินเดือนทั้งปัจจุบันและที่คาดหวังไว้ในงานที่สมัคร
อย่าใส่เงินเดือนปัจจุบันเกินความเป็นจริงที่คุณได้ อย่าลืม! ว่าความลับไม่มีในโลกและผู้สัมภาษณ์งาน ปัจจุบันมักจะโทรถามนายจ้างเก่าหรือบุคคลอ้างอิงของคุณก่อนที่จะเรียกคุณเข้าสัมภาษณ์งาน ทำการบ้านและเช็คว่าประสบการณ์ของคุณกับเงินเดือนควรจะอยู่ที่เท่าไหร่ ลองเทียบกับบริษัทแบบเดียวกัน และตำแหน่งเดียวกันดู เพราะคุณไม่ควรที่จะเรียกร้องเงินเดือนมากกว่าความสามารถของคุณนัก เพราะมันจะทำให้คุณดูเป็นคนที่เรียกร้องจากองค์กรมากกว่าที่จะทำอะไรเพื่อองค์กร

18.
Generic job titles.
ชื่อตำแหน่งงาน
ใส่ชื่อตำแหน่งงานเดิมของคุณตามความความเป็นจริงและเหมาะสม ซึ่งควรจะเป็นตำแหน่งงานแบบสากล ตำแหน่งงานเดิมที่เป็นสากลและเรียงเป็นขั้นนี้จะช่วยให้ผู้สัมภาษณ์หรือนายจ้างใหม่มีไอเดียมากขึ้นว่าคุณเคยทำอะไรมาและคุณควรอยู่ตำแหน่งใดต่อไป

19.
Duties and responsibilities.
หน้าที่และความรับผิดชอบ
ถ้าคุณอยากให้ผู้สัมภาษณ์หรือนายจ้างใหม่เห็นว่าคุณมีความสามารถมากกว่าผู้แข่งขันคนอื่นๆ เลิกใส่หน้าที่และความรับผิดชอบในตำแหน่งงานเดิมของคุณลงในเรซูเม่ แต่คุณควรจะเริ่มใส่ข้อมูลใหม่เกี่ยวกับสิ่งที่คุณเคยได้ผ่านความท้าทายมาและคุณสามารถเอาชนะหรือทำมันสำเร็จได้อย่างไร หรืออธิบายว่าองค์กรณ์จะได้ประโยชน์อะไรจากความกระตือรือร้นและความคิดสร้างสรรนี้ของคุณ อะไรที่ทำให้คุณตัดสินใจย้ายงานไปสู่องค์กรณ์ที่ดีขึ้นกว่าองค์การที่คุณเริ่มทำงาน

20.
Age identifiers.
การระบุวันที่
ถ้าคุณคิดว่าอายุของคุณอาจจะมากเกินกว่าตำแหน่งที่คุณสมัคร อย่าใส่ตำแหน่งงานและระยะเวลาของงานที่คุณเคยทำเมื่อนานมาแล้ว อย่าระบุวันที่ที่คุณเรียนจบ เพราะมันจะทำให้ผู้สัมภาษณ์งานเลือกที่จะข้ามเรซูเม่ของคุณไป สิ่งที่คุณจะทำได้ก็คือ ทำให้ผู้สัมภาษณ์งานเห็นว่าคุณน่าสนใจและเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นแค่ไหนในวันที่คุณได้มีโอกาสเข้าสัมภาษณ์งาน แสดงให้ผู้สัมภาษณ์งานเห็นว่าอายุของคุณเหมาะสมกับความสามารถและตำแหน่งงานนั้นที่สุด

ข้อมูลจาก AEC Job Listing