วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

10 วิธีเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ของคุณ

10 วิธีเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ของคุณ

1.ฟังเพลงคลาสสิก: ลองเลือกเพลงคลาสสิกมาฟังยามที่คุณหมดมุก มีการศึกษาว่าหากฟังเพลงคลาสสิกจะช่วยทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ‘The Mozart Effect’ ที่ทำให้สมองคุณปลอดโปร่ง เพิ่มสมาธิ และมีความคิดสร้างสรรค์ดีๆ เกิดขึ้น แม้วิธีนี้จะยังไม่มีการอธิบายผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่ที่แน่ๆ มันไม่มีผลเสีย ยกเว้นฟังเพลินจนหลับไป

2.เขียนด้วยมือ: ดร.แครี และอัลตัน บาร์รอน ผู้เขียนหนังสือ The Creativity Cure ให้คำแนะนำว่า ถ้าเปิด MS Word แล้วไม่สามารถร่ายไอเดียอะไรออกมาได้เลย ก็ปิดมันซะ แล้วหยิบกระดาษมาเขียนแทน บางครั้งการที่มือได้สัมผัสปากกา ได้เขียน ได้กลิ่นสมุดโน้ต รวมไปถึงกลิ่นน้ำหมึก มันอาจช่วยให้คุณกลั่นไอเดียบรรเจิดออกมาได้ด้วยปลายนิ้ว

3.ทำสมาธิ: บางทีการเลือกที่จะอยู่นิ่งๆ ในตอนที่คุณจิตใจว้าวุ่นก็ช่วยให้สมองคุณได้พัก และเข้าสู่โหมดฟื้นฟูสภาพจิตใจชั่วคราวได้ วิธีนี้ก็คล้ายวันที่เราเดินทางไกล เราก็ต้องแวะข้างทางเพื่อพักผ่อนไม่ใช่เหรอ นั่นแหละคล้ายๆ กัน

4.ขอความเห็นจากเพื่อน: มันไม่ยากหรอกที่จะเดินไปถามเพื่อนว่า เฮ้ย! ขอไอเดียหน่อยสิ เราคิดไม่ออก ถามไปเลยไม่ต้องอาย เพราะบางทีความคิดของเพื่อนอาจทำให้คุณเกิดไอเดียที่สามารถต่อยอดจนคุณหลุดพ้นสภาวะตีบตันก็ได้

5.เล่นเกมสุ่มคำ: ไปหยิบพจนานุกรมมาสักเล่มหนึ่งเปิดไปหน้าไหนก็ได้ สุ่มมาคำหนึ่งหรือประโยคหนึ่งแล้วเขียนสิ่งที่คุณคิดเกี่ยวกับคำที่เลือกมาลงไป เขียนอะไรก็ได้ การเขียนแบบอิสระตามความรู้สึกโดยมีกติกาเล็กๆ มากำหนดช่วยให้คุณระบายความอัดอั้น และยังสร้างไอเดียดีๆ ออกมาได้ด้วย

6.ฝันกลางวัน: เปิดโอกาสให้ตัวเองสามารถเพ้อฝันถึงอะไรก็ได้ คิดฝันไปเรื่อยๆ อย่างไร้ขอบเขต คิดถึงอนาคตที่ดีกับคนที่คุณแอบรัก คิดถึงธุรกิจในอนาคต การคิดแต่สิ่งดีๆ ที่คุณชอบเป็นการผ่อนคลายสมองวิธีนึง

7.คิดถึงอนาคต: มีผลวิจัยระบุว่า มนุษย์จะมีความสามารถในการแก้ปัญหาได้ดีขึ้นเมื่อได้คิดถึงอนาคตหรืออดีตที่ผ่านมา หรือสถานที่อื่นๆ ที่ไกลออกไป (ยิ่งไม่เคยไปยิ่งดี) แล้วปล่อยจินตนาการของคุณไปกับเรื่องเหล่านั้น ถือเป็นการพักผ่อนสมองไปในตัว

8.ขำน้อยๆ แต่พองาม: การหัวเราะช่วยให้คุณผ่อนคลายได้จากสถานการณ์ที่บางทีก็ดูบีบคั้นเกินไป ลองหัวเราะออกมาเบาๆ อาจจะแค่ ฮ่าๆ หรือหึหึ การหัวเราะจะช่วยสร้างอารมณ์เชิงบวกให้ได้ไม่มากก็น้อย หึหึ

9.อยู่ในที่โล่งๆ กว้างๆ: มีการศึกษาว่าคนที่นั่งคิดงานอยู่ในพื้นที่โล่ง จะมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดีกว่าคนที่อุดอู้ทำงานอยู่แต่ในห้องหรือที่แคบๆ หรือถ้าออกไปทำงานข้างนอกออฟฟิศมันยากไป ก็ไปนั่งในห้องโถงของออฟฟิศก็ได้ ขอแค่กว้างกว่าห้องทำงานของคุณก็พอ

10.บริหารดวงตา: บริหารดวงตาของคุณด้วยการกรอกตาไปมา จากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย จะช่วยบริหารสมองทั้งสองซีกไปพร้อมๆ กัน และอาจจะช่วยให้สมองโล่งขึ้นก็ได้ เอ้า! ลองดูกันได้เลย

ข้อมูลจาก http://men.sanook.com


วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2557

10 สิ่งที่คุณต้องเผชิญ เมื่อออกตามล่าฝัน

10 สิ่งที่คุณต้องเผชิญ เมื่อออกตามล่าฝัน


1. คุณจะรู้สึกกลัว ในการก้าวออกจาก Comfort Zone ที่คุณคุ้นเคย

บอกตัวเองว่า คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนก็กลัว แต่เขากลัวการมีชีวิตที่ตัวเองไม่ต้องการมากกว่า

2. บางครั้งคุณจะรู้สึกเสียความมั่นใจในสิ่งที่ทำอยู่

คุณมี 2 ทางเลือกคือ หยุดพักเพื่อหาแรงบันดาลใจเพิ่มเติม หรือ สร้างความศรัทธาเพิ่มให้กับตัวเอง โดยบอกตัวเองว่าไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร คุณก็จะสามารถเอาตัวรอดได้ และได้เรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้นมากมาย

3. คุณจะหวั่นไหวจากการถูกยั่วยวนด้วยงานที่มั่นคงกว่า

ระหว่างทางมักมีสิ่งที่คอยดึงดูดความสนใจให้คุณเลือกเปลี่ยนเส้นทางอยู่เสมอ

4. คุณจะไม่สามารถทำตามความต้องการของทุกคนที่อยู่รอบตัวได้

หลายคนที่รักคุณหรือคนที่คุณรักอาจไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำ เพราะด้วยความเป็นห่วง

5. คุณจะค้นพบราคาที่คุณต้องจ่ายในการทำฝันของตัวเองให้เป็นจริง

คุณพบว่าตัวเองต้องใช้เวลาอย่างมากอย่างที่ไม่คิดมาก่อนในการเรียนรู้ ฝึกฝน ลองผิดลองถูก เพื่อทำในสิ่งที่คุณต้องการให้ได้ดีกว่าคนอื่น ซึ่งระหว่างทางคุณจะพบกับอุปสรรคและความผิดหวังมากมาย ที่อาจต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา

6. คุณจะได้เรียนรู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเอง

หลังจากฝ่านความผิดหวังมากมาย คุณจะเริ่มพบกับความสำเร็จทีละเล็กละน้อย ที่ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตัวคุณเองมากขึ้น จนคุณเริ่มรู้สึกว่าเริ่มหายใจด้วยจมูกของตัวเองได้ และเริ่มยืนด้วยสองขาของตัวเองได้ สำหรับผม มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ เกินคำบรรยายจริงๆ

7. คุณจะพบเพื่อนที่เลือกทางเดินในการตามหาฝันเช่นเดียวกับคุณ

แม้คนที่ตัดสินใจออกตามหาความฝันและทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ จะเป็นคนส่วนน้อย แต่คุณจะพบเพื่อนร่วมอุดมการณ์มากมาย ที่ทำให้คุณรู้สึกไม่เดียวดายอีกต่อไป เช่น วู๊ดดี้ ชอบคุยก็ได้ทำรายการ Talk Show, ธงชัย ใจดีชอบเล่นกอล์ฟ ก็เลือกทำอาชีพนักกอล์ฟ หรือ ผมที่ชอบแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนๆ

8 คุณจะได้เรียนรู้ในเรื่องความอดทน

กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียวฉันได้ ความสำเร็จของคุณก็ต้องใช้เวลา อดทน และรอคอย

9 คุณจะได้ค้นพบความหมายที่แท้จริงของคำว่าศรัทธาและความเชื่อมั่น

คนทั่วไป เห็น แล้วจึง เชื่อส่วนคนที่ประสบความสำเร็จ เชื่อ แล้วคุณจึงมองเห็น
การมีศรัทธา คือ การมีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ต่อสิ่งที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นกับคุณมาก่อน

10 คุณจะพบความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง

คุณจะพบว่าตัวเองอยากจะกระโดดลุกขึ้นจากเตียงทุกเช้า เพื่อตื่นขึ้นมาทำสิ่งต่างๆที่คุณวางแผนไว้ มีความสุขในการลงมือทำ และยิ่งมีความสุขเพิ่มขึ้นเมื่อคุณเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน คุณก็จะไม่หวั่นไหวแม้ว่าบางครั้งคุณจะเจออุปสรรคที่ยิ่งใหญ่  และคุณจะไม่เหมือนคนเดิมอีกต่อไป
ข้อมูลจาก http://www.dek-d.com/board/view/3425216

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

4 เคล็ดลับ! สู่การเป็น CEO ก่อนอายุจะ 30

4 เคล็ดลับ! สู่การเป็น CEO ก่อนอายุจะ 30

 

ว่ากันว่าอายุเป็นเพียงตัว ‘เร่ง
ใครจะคาดคิดว่าแค่ตัวเลขสองหลัก จะมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ได้เพียงนี้ บางรายไม่อยากให้เลขมากขึ้น บางรายอยากเร่งให้เลขขึ้นไวบางรายเลขยิ่งมากยิ่งอุ่นใจ แต่บางรายเลขยิ่งขึ้นยิ่งรู้สึกว่าต้องรีบทำอะไรสักอย่างให้ประสบผลสำเร็จแล้ว!
ในการทำงาน, อายุที่มากขึ้น นั่นหมายถึงคุณภาพและประสบการณ์ที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน แต่บางครั้งเรากลับพบว่าสิ่งที่สั่งสมมาอาจยังไม่เพียงพอกับการได้เลื่อนขั้น ติดบั้ง ประดับยศ ในตำแหน่งใหญ่ๆของบริษัท อย่าเพิ่งหมดหวังกันไปครับ เพราะเรามีเคล็ดลับฉบับรู้ทัน 3 วิธี สู่การตบเท้าขึ้นไปยืนตำแหน่ง CEO ก่อนที่อายุของคุณจะตบก้าวแซงไปที่หลักสามเสียก่อน

 ถูกที่-ถูก งาน
มีคนเคยกล่าวว่าทำงานที่ไหนไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าทำกับใคร ไม่จำเป็นว่าเราต้องได้อยู่บริษัทใหญ่ๆ มีชื่อเสียง อนาคตมั่นคง เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือ ผู้ร่วมงานหรือคนที่เราทำงานด้วยต่างหาก คนเหล่านี้แหละเป็นคนที่ฝึกวิชาให้เราได้ดีที่สุด การที่เราได้ทำงานกับคนเก่ง และมีคุณภาพ จะทำให้เราซึมซับ และฝึกฝนวิชาไปในตัว ถึงจะเป็นบริษัทมีชื่อเสียงที่ใครๆก็อยากทำงานด้วย แต่ถ้าบุคลากรข้างในไม่ได้เรื่อง ก็ไม่มีประโยชน์ครับ พาแต่จะรั้งให้เราย้ำอยู่กับที่จนไม่ได้อะไรเลยเสียเปล่า

อายุการใช้งาน
อย่าปล่อยให้ อายุเข้ามาครอบงำและบดบังการทำงานของเรา บ่อยครั้งเราอาจต้องสั่งงานกับคนที่เราเรียกเขาว่า พี่!ด้วยยศตำแหน่งที่เราสูงกว่า จึงทำให้บางครั้งเราอาจรู้สึกลำบากใจ กลืนไม่เข้าสั่งไม่ออก กับการออกคำสั่งคนที่มีอายุมากกว่า ขอให้มองข้ามเรื่องนี้ไปให้ได้ครับ เมื่อไหร่ที่เรามองข้ามไปได้ คนที่ทำงานกับเราก็จะมองข้ามเรื่องพวกนี้ไปได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน นึกไว้เสมอว่าหากวันนึงคุณได้ขึ้นไปยืนแท่น CEO ด้วยอายุเพียง 28 ถึงเวลานั้นก็ต้องมองข้ามเรื่องอายุไปให้ได้เหมือนกัน ฝึกไว้ตั้งแต่ตอนนี้ เพราะเมื่อวันนั้นมาถึง เราจะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้อย่างไม่มีที่ติเลยเชียวล่ะ

รอมากมักลาภหาย
บ่อยครั้งที่เราเลือกที่จะรอโอกาสดีๆให้วิ่งเข้ามาหา จากนั้นจึงค่อยกระโจนเข้าใส่ แต่เชื่อเถอะครับว่าคนที่ชอบรอ ก็ยังคงเป็นคนที่ต้อง รออยู่วันยันค่ำ ก้าวออกมาจากความคิดเดิมๆ และมองหาโอกาสดีๆให้กับตัวเองบ้าง บุกบ้าง ถอยบ้าง ก็ไม่ได้ผิดกติกาแต่อย่างใด โอกาสมันไม่ได้มาหาเรา เราต้องเข้าหามันก่อนเสมอ เพราะเราต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเราเองเสมอจงอย่าให้คนอื่นมาเลือกให้เราครับ

วิทยา งาน’ 3 สิ่ง
3 สิ่งสำคัญที่เราขาดไม่ได้ ต้องพกติดตัวเก็บใส่กระเป๋าเอาไว้ใช้เลยเชียวล่ะ คือ 1.น้ำเสียง 2.แววตา 3.คุณภาพทางใจ ทั้งสามอย่างนี้ถูกควบคุมด้วยสิ่งเพียงสิ่งเดียว คือ ใจ’ เมื่อจิตใจเราดีทุกอย่างดีหมด น้ำเสียงบอกพลัง แววตาบอกความมุ่งมั่น คุณภาพทางใจบอกความสุขความสบายทั้งกายและใจของเรา เหมือนดังคำกล่าวที่ว่าทุกสิ่งสำเร็จได้เพราะใจ ครับ
เราต้องพร้อมเสมอที่จะเรียนรู้ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้พร้อมเสมอที่จะได้รับการสั่งสอนก็ตาม อย่าท้อถอยครับ

ข้อมูลจาก http://www.marketingoops.com


วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

วิธีออมเงินอย่างมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ

วิธีออมเงินอย่างมนุษย์เงินเดือนมืออาชีพ


การใช้ชีวิตโดยปราศจากการวางแผน ถือเป็นการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเสี่ยง โดยเฉพาะในเรื่องการเงินด้วยแล้ว หากไม่ได้มีการจัดระบบกันให้ดี เมื่อรู้ตัวอีกทีก็อาจสายเสียแล้ว เพราะเรากำลังพบว่าตัวเองกำลังประสบกับปัญหาทางการเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องยอมรับว่ามนุษย์เงินเดือนส่วนหนึ่งยังไม่สามารถบริหารการเงินได้ดีพอ เราจึงมักจะพบว่าคนทำงานบางส่วนมีปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นหนี้บัตรเครดิต และที่แย่ที่สุด คือ ไม่มีเงินเก็บไว้ใช้ในยามที่จำเป็น ต้องขอหยิบยืมจากคนอื่น และติดหนี้กันจนวุ่นวาย
          แต่เชื่อหรือไม่ว่าปัญหาด้านการเงินที่เกิดจากการจัดการที่ไม่เป็นระบบ เราสามารถรับมือกับมันได้ หากรู้จักวางแผน และใส่ใจกับอนาคตทางด้านการเงินของตัวเองให้มากขึ้นกว่าเดิม มนุษย์เงินเดือนส่วนหนึ่งมักจะพบกับคำถามที่ว่าไม่รู้จะเริ่มต้นจัดการด้านการเงิน และออมเงินอย่างไร? เพราะในแต่ละวันนั้นก็มีค่าใช้จ่ายที่มากมาย จนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากจุดไหนดี
          วิธีการวางแผนการเงินอย่างมืออาชีพ สามารถเริ่มต้นด้วยวิธีการออมเงินเหล่านี้ ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถนำมาใช้ได้จริง และไม่ยากเกินความสามารถจนเกินไป
ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
          คนทำงานหลายคนอาจจะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งจำเป็นทั้งสิ้น ยากที่จะตัดสินใจได้ว่าอันไหนบ้างที่เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องวางแผนทางการเงินแล้ว เราก็จะเห็นได้อย่างง่ายดายว่าค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นมาจากหลาย ๆ อย่าง เช่น ค่าอาหารราคาแพง ค่าช้อปปิ้ง ค่าเสื้อผ้า ค่าสังสรรค์ในงานปาร์ตี้ ซึ่งบางครั้งอาจจะลดปริมาณการซื้อ หรือใช้จ่ายให้น้อยลง แต่ก็ไม่ถึงกับจะหยุดซื้อเสียทีเดียว หากเราสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นได้ เราก็จะมองเห็นเงินออมอย่างแน่นอน

ออมก่อนค่อยใช้
          หลายคนเลือกที่จะใช้ก่อน เหลือเท่าไรแล้วค่อยเก็บออม ซึ่งนั่นอาจจะไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องนัก เราควรหันมาใช้วิธีออมก่อนแล้วค่อยใช้ จะทำให้เรามีเงินเหลือเก็บมากขึ้น เพราะเราได้กันเงินส่วนหนึ่งออกไปแล้ว เราก็จะใช้เงินได้อย่างรู้สึกอุ่นใจมากขึ้น ในขณะเดียวกัน เราก็อาจจะใช้วิธีเปิดบัญชีเงินฝากประจำร่วมด้วย เพื่อช่วยเก็บออมเงิน โดยไม่นำเงินส่วนนี้มาใช้ และเป็นการสร้างวินัยการออมเงินให้กับตัวเอง
 ตั้งเป้าหมายในการออมเงิน
          ในช่วงที่เราเริ่มต้นออมเงิน ให้ลองทำบันทึกรายรับรายจ่ายร่วมด้วย เพื่อให้เห็นว่าในแต่ละวัน หรือแต่ละเดือน เราใช้จ่ายเงินไปเท่าไร และมีเงินเหลือเก็บเท่าใด แล้วให้เริ่มตั้งเป้าหมายในการออมเงินให้กับตัวเองว่า เราจะนำเงินที่ได้ไปทำอะไร เพื่อสร้างกำลังใจในการออมเงินให้กับตนเอง เช่น เราอาจจะตั้งเป้าหมายไว้ว่า เราจะเก็บเงินซื้อบ้านซื้อรถ สำหรับค่าเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ วิธีการนี้จะช่วยให้เราเข้าใกล้เป้าหมายในการออมได้ง่ายขึ้น เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เราจะรู้ว่าเราจะมีความสุขกับเงินออมก้อนนี้
ลงทุนบางส่วนกับกองทุน
          หากเรามีเงินเก็บเหลือบางส่วน ให้ลองนำเงินจำนวนนี้มาลงทุนกับกองทุนต่าง ๆ ดู ไม่ว่าจะเป็น RMF LTF หรือกองทุนอื่น ๆ ที่เรามีความสนใจ แต่ก่อนการลงทุน เราเองก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ดี ทั้งในแง่ของความเสี่ยง และความคุ้มค่าของการลงทุนก่อนด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วอาจจะมีปัญหาตามมาในภายหลังได้ การลงทุนนั้นให้เลือกลงทุนตามความเสี่ยง และจำนวนเงินเหลือเก็บ และต้องมั่นใจว่าเป็นเงินที่เราจ่ายไปแล้วเราไม่เดือดร้อน เงินที่จะนำมาใช้จ่ายในส่วนนี้ ต้องไม่เกี่ยวข้องกับเงินที่เราใช้จ่ายในแต่ละวัน ไม่เช่นนั้นแล้ว เราอาจจะเจอกับปัญหาชักหน้าไม่ถึงหลังได้เช่นกัน
สมทบเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้เต็มที่
          หลาย ๆ บริษัทจะให้สิทธิกับพนักงานในการเลือกการสมทบเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพเอง โดยเลือกได้ว่าจะสะสมเงินเท่าใด เพราะเมื่อเรายิ่งหักเงินสะสมมาก เราก็จะมีเงินเก็บมากขึ้น ยิ่งเราเลือกอัตราสะสมที่สูง บริษัทก็จะยิ่งส่งเงินสะสมในอัตราที่สูงตามไปด้วย กองทุนสำรองเลี้ยงชีพถือเป็นการออมเงินอย่างหนึ่งสำหรับมนุษย์เงินเดือน ดังนั้น หากมีโอกาสก็ควรเลือกช่องนี้เป็นตัวช่วยหนึ่งในการออมเงินด้วยก็จะดียิ่ง
          ปัญหาด้านการเงินก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป หากเรารู้จักวางแผนและใช้เงินอย่างเป็นระบบ ไม่เพียงแต่จะช่วยจัดการกับปัญหาเดิม ๆ เรื่องการใช้จ่ายเงินอย่างเกินตัวได้เท่านั้น แต่การออมเงินยังช่วยให้เรามีเงินสะสมเพิ่มมากขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว และจะเป็นประโยชน์มากขึ้นในบั้นปลายการเป็นมนุษย์เงินเดือนของเราอีกด้วย

ข้อมูลจาก http://th.jobsdb.com/



7 พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จและร่ำรวย


7 พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง 

เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จและร่ำรวย 



1. ไม่มีคำว่า Plan ในชีวิตประจำวัน
เราจะหมดเวลาไปกับการคิดว่า จะทำอะไรต่อดี และจะสับสนกับการย้อนกลับไปกลับมา แล้วสุดท้ายเมื่อสิ้นวัน มันจะไม่ค่อยได้งานอะไรเป็นก้อนๆ คนประสบความสำเร็จ ตั้งเป้าหมายกับทุกสิ่ง แม้กระทั่งการหาที่จอดรถ เขาก็ยังวางแผน (เพื่อไม่ให้เสียเวลา) คิดแม้กระทั่ง หากเดินไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทางเดินจะโทรหาใครเพื่อคุยงานให้เสร็จ 

มองเงินเป็นเป้าหมายหลัก
การตั้งเป้าหมายเป็นเงินล้วนๆ จะทำให้ขาดแรงบันดาลใจ และสิ่งกระตุ้นสู่ความสำเร็จ 
เป้าหมายในชีวิต ที่คนสำเร็จวางไว้คือ ภาพชีวิตของตนเองและครอบครัว ว่าจะมีชีวิตอย่างไร มี lifestyle แบบไหนแรงกระตุ้นชั้นดี ที่จะทำให้เรามีความสุขแรงแรงบันดาลใจในการทำเป้าหมายของเราให้ลุล่วง

มัวแต่สนใจว่าคนจะมองอย่างไร หรือคิดว่าเราควรเป็นอะไร
คนที่ประสบความสำเร็จ มักวาดภาพให้กับชีวิตของตนเองมากกว่า ที่จะให้คนรอบข้างมากำหนดว่าเขาควรจะไปทางไหน .. มีคำพูดหนึ่งที่ว่า
 “ คำพูดของคนรอบข้างมันจะไม่มีความหมายเลย ถ้าเราไม่ได้ไปยอมรับหรือตกลงว่าเราจะเป็นอย่างนั้น"

ไม่เติมความหวานให้กับชีวิต
การเดินทางยาวๆมันจะเหนื่อยและหมดแรงไปเรื่อยๆ หากเราไม่หาความสนุกเข้ามาสอดแทรกระหว่างทาง

การดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจก็เช่นกัน หากเราไม่แวะพักเพื่อเติมไฟกันบ้าง เป้าหมายถึงอยู่ไม่ไกล แต่อาจจะไปไม่ถึงเพราะหมดสนุกไปซะก่อน 

จมอยู่กับอดีต
หากเรายังเสียใจกับสิ่งที่เคยไปอยู่ ความคิดเชิงลบมักนำเราไปสู่ สิ่งที่แย่ลงเรื่อยๆ / หรือถ้าเราคิดอย่างเด็กเล็กๆ ที่ไม่เคยต้องสนใจว่า เมื่อวานเพิ่งหกล้มที่มุมเดิมตรงนี้ ก็ยังอยากที่จะลองทำอะไรที่อยากรู้ โดยไม่กลัวสิ่งที่เกิดขึ้น จนเขาสามารถทำมันได้
 

ตื่นสาย 
บางคนอาจบอกว่า ตื่นสายแต่นอนดึกก็ได้เวลาทำงานเท่าๆกัน
ผลวิจัยมียืนยันออกมาว่า สมองและร่างกายจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากหลังจากตื่น2-4ชั่วโมง ลองตื่นมาออกกำลังกายสั้นๆ แล้วนั่งทำงานดูช่วงเช้า จะประหลาดใจว่า ทำได้รวดเร็วขึ้นมาก (แม้ว่ามันจะตื่นยากและง่วงมากในช่วงแรก) // และอีกเรื่องคือการทำธุรกรรม หรือประสานงานต่างๆ จะทได้เร็วขึ้น หากเราติดต่อให้เสร็จตั้งแต่ช่วงเช้า หลายๆครั้งช่วงบ่ายหรือเย็นก็จะได้คำตอบ (แล้วมันมีผลต่องานถัดๆไป) ซึ่งต่างจากการตื่นสาย แล้วประสานงานช่วงบ่าย .. resultมักไม่ค่อยเกิดในวันเดียวกัน

ลืมคนที่เรารักและรักเรา (ที่เรามักชอบขอไว้ทีหลัง)
งานนั้นสำคัญ แต่ ชีวิตครอบครัวก็สำคัญเช่นกัน หลายครั้งที่เรานำเรื่องงานมาเป็นเหตุผลให้ เราต้องเลื่อนนัดคนที่เรารักออกไปก่อน(เรื่อยๆ) โดยลืมไปว่าสิ่งที่เรากำลังทำอยู่เพื่อความสำเร็จนั้น ก็เพื่อคนที่เรารักด้วยเช่นกัน และเขาเหล่านั้นก็ต้องการเราเช่นกัน 


ที่มา : อาเสี่ย (https://www.facebook.com/penarsia)



วันจันทร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

10 วิธีขอขึ้นเงินเดือน (ให้เวิร์ค)

10 วิธีขอขึ้นเงินเดือน (ให้เวิร์ค)


คนไทยเราเป็นชนชาติขี้เกรงใจ โดยเฉพาะเรื่องเงินๆทองๆ ยิ่งเกรงใจคูณสอง อย่างเรื่องขอเจ้านายขึ้นเงินเดือนนี่ปะไร ทำงานมาตั้งนานนม ผลงานโตขึ้นเป็นกอง แต่ก็ยังกล้าๆ กลัวๆ..

ว่าแต่ของแบบนี้ใครไม่เห็น เจ้านายไม่เห็น และตัวคุณนั่นแหละที่เห็น ในเมื่อตนเป็นที่พึ่งของตนฉันใด คุณเองเท่านั้นที่จะต้องรวบรวมความกล้า เดินหน้าเข้าไปหาเจ้านายเพื่อขอขึ้นเงินเดือนด้วยตัวคุณเอง..ฉันนั้น

1.อย่าบอกเจ้านายว่า คุณหวังว่าเจ้านายจะขึ้นเงินเดือนให้เป็นเงินเท่านั้นเท่านี้
ตรงกันข้าม ให้บอกเจ้านายว่า จะปฏิเสธคุณเลยก็ไม่ว่า เพราะคุณเป็นคนที่รับได้กับการถูกปฏิเสธ และคุณก็ไม่อยากให้เจ้านายคิดมากถ้าต้องปฏิเสธ การเกริ่นแบบนี้แต่แรกจะทำให้ภาพทุกอย่างชัดเจนทั้งตัวคุณและเจ้านาย ไม่ต้องกลัวว่าวันหลังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเก็บไปคิดเล็กคิดน้อย

2.อย่าเจ้าอารมณ์จนเกินไป 
ก่อนไปปะหน้าเจ้านาย ให้ทำใจให้ว่าง ทำสมองให้โล่งโปร่ง และอย่ากดดันตัวเองว่าผลการเจรจาครั้งนี้จะต้องสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น คุณเองนั่นแหละที่จะเกร็งจนพูดไม่ออก

3.อย่าเจรจาในที่ที่บรรยากาศไม่เอื้อ
ลองทำการบ้านมาก่อนเรื่องเวลา สถานที่ บรรยากาศ และปัจจัยอื่นๆ ที่จะเอื้อให้การพูดครั้งนี้ประสบความสำเร็จด้วยดี ศึกษาดูว่าช่วงที่เวลาไหนที่เจ้านายแฮปปี้ที่สุดและยากที่จะปฏิเสธ อะไรเป็นอุปสรรคขวางคุณอยู่ตรงหน้า ลองศึกษาเรื่องผลประกอบการบริษัทในปีที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไร ช่วงนี้มีใครถูกไล่ออกไหม พยายามมองหลายมุมเพื่อให้เจ้านายเออออด้วยมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องตั้งอยู่บนความสมเหตุสมผลเป็นสำคัญ

4.อย่าเลียจนเกินงาม
ให้เจ้านายรู้สึกได้ว่าคุณก็ยังเป็นคุณคนเดิม การทำอะไรที่มันผิดแผก เช่น การเอาใจเจ้านายด้วยการแต่งกายยั่วยวน (กรณีเจ้านายเป็นผู้ชาย) การซื้อของราคาแพงๆ มาประเคน หรือการทำบางสิ่งบางอย่างที่เสแสร้งแกล้งทำ ทั้งๆ ที่ตัวจริงของคุณเป็นอีกอย่าง จะทำให้เจ้านายรู้สึกว่าคุณเปลี่ยนไป เผลอๆ เขาอาจจะคิดไปได้ว่าคุณเป็นประเภททำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ

5.อย่าพรีเซนต์แบบเว่อร์
พยายามพูดแบบเนื้อๆ เน้นๆ และตรงประเด็นที่สุด ที่พลาดไม่ได้คือการถามความเห็นของเจ้านาย เพื่อจะได้รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของบริษัท และมุมมองของเจ้านายที่มีต่อตัวคุณและผลงานเป็นอย่างไร

6.อย่าต้อนเจ้านายด้วยคำถามที่ต้องตอบว่า “โอเค” กับ “โนเค” 
พยายามถามด้วยคำถามที่ให้โอกาสเจ้านายได้โต้ตอบเป็นฉากๆ เช่น คำถามที่เริ่มต้นประโยคด้วย "ใคร" "อย่างไร" "ที่ไหน" "ทำไม" "เมื่อไหร่" เมื่อเจ้านายพูดแนะนำหรือให้เหตุผลใดๆ ออกมา รับรองว่าคุณจะได้ข้อมูลใหม่ๆ มาใส่ “แรม” ของตัวเองได้อีกเพียบ ถ้าการขออัพเงินครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่หลังจากนี้คุณสามารถเก็บไปวิเคราะห์และพัฒนาตัวเองให้เข้าตาเจ้านายต่อไปได้ในอนาคต

7.อย่าเพิ่งนึกถึงตอนจบ
เป็นไปได้อย่านึกถึงเป็นดีที่สุด อย่าหวังหรือวางแผนเป็นขั้นๆ หรือเป็นสูตรตายตัวว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ให้ลองโฟกัสไปในจุดที่คุณสามารถควบคุมได้ตอนเจรจา เช่น การเตรียมข้อมูลสำคัญ การควบคุมอารมณ์ไม่ให้ตื่นเต้นเกินไป หรือหากเจ้านายถามเรื่องใดเรื่องหนึ่งก็ต้องตอบให้ได้จะดีกว่าเยอะ

8.อย่าเชื่อมั่นตัวเองสุดโต่งว่าคุณจะต้องได้เงินเดือนขึ้น
ให้คิดว่าการที่คุณมาเจรจาและแลกเปลี่ยนความเห็นกับเจ้านายก็เพื่อเป้าหมายของการบรรลุผลตามปรัชญาหรือตามเป้าหมายของบริษัท เงินเดือนมีผลต่องานที่คุณจะทำออกมา และเจรจาก็เพื่อให้องค์กรได้ผลผลิตของงานที่ดีขึ้น แต่อย่าลืมว่าทุกประเด็นที่คุณยกมาเป็นตัวอย่างในการขอขึ้นเงินเดือน ทำให้งานงอกเงยขึ้นและมีส่วนช่วยผลักดันให้บริษัทโตขึ้นจริงๆ
9.อย่าคิดว่าเงินเดือนหรือตำแหน่งงานตอนนี้ของคุณคือปัญหา 
จงพรีเซนต์ตัวเองว่าเป็นผู้ไขทางออก อย่ากลัวที่จะเอาผลงานที่เคยทำสำเร็จมาโชว์ให้เห็นเป็นรูปธรรม จงทำให้เห็นว่างานที่ว่านั้นได้ช่วยบริษัทในแง่มุมไหนบ้าง ยิ่งถ้าคุณเตรียมการบ้านมาดีและลิสต์แง่มุมต่างๆ รอบด้านแล้ว การเจรจาต้าอวยจะไม่มีอะไรทำให้หงุดหงิดหัวใจ

10.อย่าแสดงท่าทีข่มขู่ คุกคาม หรือบีบคอเจ้านายให้ตอบตกลง 
ให้สงบเสงี่ยมเจียมตัว วางระยะห่างของคุณกับเจ้านายให้ดี (ให้เกียรติและเคารพในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้างาน) พูดจาฉะฉานและมีเหตุมีผล ถ้าต้องถกกันก็ควรถกแบบเคลียร์ๆ แตกประเด็นออกไป ให้ชัดเจนแบบคนมีวุฒิภาวะ ไม่ต้องกลัวว่าผลการเจรจาจะออกมาอย่างไร ถ้าลองได้ทำการบ้านมาดี คุมอารมณ์อยู่ มั่นใจตัวเอง ผลลัพธ์ที่ออกมาแม้ไม่เต็มร้อย แต่เชื่อว่าน่าจะเกิน 75 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเปอร์เซ็นต์ที่หายไปอาจเกิดจากปัจจัยภายนอกที่อยู่เหนือจากการควบคุมของตัวคุณหรือแม้เจ้านายเอง

 
ข้อมูลจาก http://www.jobsawasdee.com

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

20 บทเรียนสำคัญ ที่คุณต้องเรียนรู้ตอนช่วงอายุ 20

20 บทเรียนสำคัญ ที่คุณต้องเรียนรู้ตอนช่วงอายุ 20


ในช่วงวัย 20 นั้น ของบางคนอาจจะเป็นช่วงที่ท้าทายที่สุดในชีวิต ขณะที่บางคนอาจจะมีช่วงเวลาที่ดีมากๆ มันมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย หลายๆ คนอาจจะเครียดว่า คุณจะสามารถก้าวผ่านมัน และรอดจากความท้าทายต่างๆ ไปได้หรือไม่ แต่วันนี้เราขอเอาข่าวดีมาฝากคุณ เราจะบอกว่า บางทีเราอาจจะไม่ต้องชนะความท้าทายทั้งหมดได้หรอก แต่เราสามารถเรียนรู้ “บทเรียนสำคัญ” จากเหตุการณ์เหล่านั้นได้ แค่นี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว ไปดูเลยว่ามีอะไรบ้าง 

1. ปัญหาบางเรื่องเราก็แก้มันไม่ได้
หลายๆ คนรู้สึกว่าเจอปัญหามากมาย บางอย่างแก้ไขได้ บางอย่างแก้ไขไม่ได้ ชีวิตบางทีก็ไม่เป็นไปตามที่คุณวางไว้ ทำให้คุณเครียด แต่เอาเป็นว่า นั่นคือเรื่องปกติของวัยนี้ ปล่อยวางบ้าง แล้วคุณจะแก้มันได้เอง เมื่อคุณโตขึ้น 
2. คุณมีเพื่อนน้อยลง
เพื่อนคุณจะลดลงๆ กว่าตอนที่คุณเป็นวัยรุ่น เพราะทุกคนโตขึ้น ความชอบต่างกัน ห่างกัน แยกย้ายจากกัน นั่นคือความจริงของชีวิต
3. ยากที่จะปักหลักที่ไหนซักที่
ชีวิตของคุณ มันยังอยู่ในช่วงลองผิดลองถูก ทั้งเรื่องงาน เรื่องที่อยู่ บางทีใจคุณก็อยากจะปักหลักที่ไหนซักที่หนึ่ง แต่ก็กลัวว่าจะต้องย้ายงานไปที่อื่น นี่แหละคือชีวิตช่วง 20 ล่ะ!
4. ชีวิตมีแต่ยากขึ้น กับยากขึ้น
ถึงแม้หลายๆ คนบอกว่าชีวิตวัย 20 มันมีแต่เรื่องตื่นเต้น แต่ความตื่นเต้นนั้นแหละ มันตามมาด้วยความท้าทายที่ทำให้ชีวิตคุณยากขึ้นๆ และคุณก็ต้องแก้ไขกันต่อไป 

 5. ยากมากที่จะเก็บเงิน
ผู้เชี่ยวชาญมักจะบอกว่า ควรเริ่มเก็บเงินตั้งแต่วัย 20 เพราะพออายุเยอะๆ ก็จะสบาย แต่เชื่อเถอะว่า วัยนี้ เก็บเงินยากสุดๆ 
6. หนี้สินคือศัตรูตัวฉกาจที่สุด
คนในวัยนี้ชอบทำอยู่ไม่กี่อย่าง คือ สนุกไปกับเพื่อนๆ กิน เที่ยว ช้อปปิ้ง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ตามมาคือ หนี้ อย่างเช่นหนี้บัตรเครดิต ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของคุณ ที่กำจัดอย่างไรก็ไม่ไปซักที 
7. คุณเปลี่ยนงาน…บ่อยมาก
หลายๆ คนอาจจะบอกว่า ไม่ดีเลย เด็กสมัยนี้เปลี่ยนงานบ่อย ไม่ทน แต่ทำใจเถอะ เพราะวัยนี้คือวัยของการทดลอง ลองผิด ลองถูกเพื่อหาสิ่งที่ชอบ เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนงานบ่อยคือเรื่องธรรมดา
8. บางคนอาจจะย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่
ในช่วงวัยรุ่น คุณอยากออกมาสู่โลกกว้างมาก อยากอยู่คนเดียว พอคุณอยู่คนเดียวซักพัก หลายๆ คนอาจจะอยากกลับไปอยู่กลับพ่อแม่อีกครั้ง 
9. รักตัวเอง กลายเป็นเรื่องยาก
ในช่วงที่คุณกำลังค้นหาตัวตนของคุณเอง ทำให้มันกลายเป็นเรื่องยากในการรักตัวตนของคุณตามมา ซึ่งมันอาจจะดูแปลกๆ แต่เขาบอกว่า ให้คุณบอกตัวเองในกระจกว่าคุณรักตัวเอง และมันจะช่วยคุณได้จริงๆ 

 10. เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ทำให้คุณคลั่ง
คุณหลงรัก คุณอกหัก คุณแอบชอบ คุณโดนปฏิเสธ ทุกอย่างทำให้คุณคลั่ง นี่แหละคือวัย 20 ของหลายๆ คนล่ะ!
11. โลกความจริงมันโหดมาก
คุณเรียนรู้ความจริงอันเจ็บปวดมากมายในวัย 20 แต่ถึงแม้ความจริงของโลกมันจะโหดร้ายแค่ไหนนะ คุณยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งดีกับตัวคุณต่อไป เชื่อสิ

12. คุณปาร์ตี้มากแบบเมื่อก่อนไม่ได้ละ
เพราะเวลาเมาทีนึง กว่าคุณจะหายเมา สร่างเมา มันใช้เวลานานกว่าตอนเด็กๆ แล้ว เพราะฉะนั้น คุณจะไม่สามารถปาร์ตี้หนักยันเช้าแบบเมื่อก่อนได้อีกแล้ว 
13. บริษัทไม่ได้แคร์อะไรคุณมาก
สิ่งที่บริษัทแคร์อยู่อย่างเดียวคือคุณทำงานที่ได้รับให้เสร็จ “ตามเป้า” นอกเหนือจากนั้น ไม่มีใครแคร์คุณหรอก ความจริงก็คือ มีคนรอแทนคุณมากมาย 

 14. มหาวิทยาลัยอาจจะไม่เวิร์คเสมอไปก็ได้
มันคือช่วงเวลาที่ดีก็จริง แต่หลายคนกลับไม่ได้ใช้ปริญญาที่ได้มาในการทำงานเลย เพราะฉะนั้น สำหรับหลายคน มันอาจจะไม่จำเป็นเสมอไป

 15. มันรู้สึกแย่ที่แก่ขึ้น
หลายคน โดยเฉพาะคนที่แก่กว่าก็จะบอกว่า อะไรกันแค่นี้มาบ่น แค่ 20 กว่าๆ เอง ซึ่งมันก็ใช่ แต่คุณก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวคุณ และเริ่มรู้สึกว่าแก่…
16. คุณตัดสินใจผิดพลาด
ไม่มีใครตัดสินใจถูกไปตลอด โดยเฉพาะในวัย 20 กว่าๆ แค่เรารู้สึกว่าเราพยายามเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ถ้าผลออกมาแย่ ก็ยอมรับและทำใจ มันเป็นเรื่องธรรมดา
17. มันดีนะ ที่ได้ลองของใหม่ๆ
วัยนี้คือวัยที่เหมาะมาก ในการลองของใหม่ๆ ลองเสี่ยงกับสิ่งที่ไม่เคย เพราะถ้าคุณรอช้ากว่านี้ มันอาจจะยากขึ้น และคุณจะยิ่งไม่กล้าลองของใหม่ๆ ในชีวิต 

 18. คุณเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
คุณเปรียบเทียบตัวคุณเองกับคนรอบข้าง และคิดว่าชีวิตคนอื่นๆ ดีกว่าคุณ แต่คุณไม่มีทางรู้หรอก ว่าคนอื่นก็มีปัญหาเหมือนกัน แต่เขาไม่เปิดเผยออกมาก็เป็นได้ 

 19. เพื่อนๆ ยังกดดันคุณได้เสมอ
ต่อจากข้อที่แล้ว บางทีเห็นเพื่อนทำอะไรแล้วดูดี รวยกว่า สบายกว่า เราก็จะเครียด และกดดันตัวเอง และไม่รักตัวเอง ซึ่งเป็นบทเรียนที่สำคัญ ให้คุณรักตัวตนของคุณเองให้ได้ นี่สำคัญที่สุด

 20. มันไม่มีสูตรสำเร็จของความสำเร็จ
มันไม่มีหรอก ขั้นตอนเป็นข้อๆ ที่บอกว่า คุณทำแล้วจะสำเร็จ มันต้องใช้เวลาและการเรียนรู้ค่อยๆ สั่งสมไป เพราะฉะนั้น อย่ากดดันตัวเอง
20 ข้อนี้จะบอกคุณว่า ในวัย 20 ของคุณ หากเจอปัญหา ก็ไม่เป็นไรหรอก สิ่งที่เราควรทำคือเรียนรู้จากมันให้มากที่สุดก็แค่นั้นเอง
ข้อมูงจาก http://www.kiitdoo.com/

วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

นิทานสอนใจ เรื่อง พ่อครับ....

พ่อครับ....



ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู

ลูก : "พ่อครับ,พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"
พ่อ : "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"

ลูก : "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่" 
พ่อ : "ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่,ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ"
พ่อตอบด้วยความโมโหลูก 

ลูก : "ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"
ลูกพูดร้องขอพ่อ 
พ่อ : "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"

ลูก : "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10 เหรียญ"

พ่อกล่าวด้วยอารมณ์ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถามเพื่อจะขอเงินแล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่าแกน่ะเห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวันและไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"

เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้นเพื่อจะขอเงินได้อย่างไร 

หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆ และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู

พ่อ : "หลับหรือยังลูก" 
ลูก : "ยังครับ"
พ่อ. "พ่อมาคิดดูเมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ" เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง 
ลูก :"ขอบคุณครับพ่อ"  แล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง

"ก็มีเงินแล้วนี่แล้วมาขออีกทำไม"
ลูก : "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงิน ครบ 20 เหรียญแล้ว
ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ"